​ก.พ.ร. เดินหน้าผลักดันแผนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายภาครัฐระบบเปิด (Open Government Partnership : OGP) ของประเทศไทย

ก.พ.ร. เดินหน้าผลักดันแผนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายภาครัฐระบบเปิด (Open Government Partnership : OGP) ของประเทศไทย หลังได้รับข่าวดี ไทยผ่านเกณฑ์การประเมิน และมีสิทธิ์สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 และเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกต่อประชาชนหลังร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. …. ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยมติเอกฉันท์

คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) มีการประชุมครั้งที่ 3/2568 โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองประธาน ก.พ.ร. ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ซึ่งผลการประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนการดำเนินการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายภาครัฐระบบเปิดของประเทศไทย พร้อมทั้งประเด็นนโยบายสำคัญที่จะขับเคลื่อนภายใต้แผนดังกล่าว

สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ขับเคลื่อนการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2568 ไทยผ่านการประเมินตามเกณฑ์หลักทั้ง 2 ด้าน ได้แก่ เกณฑ์พื้นฐาน 4 ตัวชี้วัด ความโปร่งใสทางการเงิน การเข้าถึงข้อมูล การเปิดเผยทรัพย์สินเจ้าหน้าที่รัฐ และการมีส่วนร่วมของประชาชนและเกณฑ์การให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม ทำให้มีสิทธิ์สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP ซึ่งผลของการเข้าร่วมเป็นสมาชิกจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก ทั้งด้านความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและประชาสังคม รวมทั้งเสริมความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติ และเปิดโอกาสความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับสากล โดยสำนักงาน ก.พ.ร. จะเสนอคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ประสานงานหลัก 2 ระดับ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการพลเรือน และจัดทำจดหมายแสดงเจตจำนงเข้าร่วม OGP ส่งไปยัง OGP Secretariat ก่อนที่ OGP จะประกาศรับประเทศไทยเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ภายหลังการเข้าร่วมเป็นสมาชิก ประเทศไทยจะต้องจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติ (National Action Plan : NAP) ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยกำหนดพันธกิจในประเด็นนโยบายสำคัญ เช่น การต่อต้านการทุจริต ธรรมาภิบาลดิจิทัล สิ่งแวดล้อม และสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของการเสนอร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. …. ซึ่งปัจจุบันได้ผ่านการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 จาก
สภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ด้วยคะแนนท่วมท้นที่ 377 จาก 380 เสียง โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะสร้างประโยชน์ให้ประชาชนด้วยหลักการสำคัญ 10 ประการ อาทิ การขยายขอบเขตกฎหมายให้ครอบคลุมงานบริการที่เกี่ยวข้องกับประชาชนและเอกชนมากขึ้น การจัดทำช่องทางพิเศษแบบเร่งด่วน (Fast track) เพื่อลดระยะเวลาการรอคอย การปรับเปลี่ยนจาก “การอนุญาต” เป็น “การจดแจ้ง” และการยกเลิกการพิจารณาโดยคณะกรรมการ เพื่อลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่าย การใช้ระบบใบอนุญาตหลัก (Super License) เพื่อลดการขออนุญาตจากหลายหน่วยงาน การจัดทำแบบฟอร์มภาษาอังกฤษเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการต่างชาติ และการจัดตั้งศูนย์รับคำขอกลางทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ผลของการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาให้แก่ประชาชนและภาคเอกชนอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

สุดท้ายนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการขับเคลื่อนการดำเนินการตามร่างกฎหมายการอำนวยความสะดวกให้บรรลุเจตนารมณ์ของกฎหมายโดยเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของภาครัฐเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง