กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี และตราด ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่ม
จากการแจ้งเตือนเรื่องฝนตกหนักบางพื้นที่ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและ
ดินถล่มจากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” และพายุ “หนองฟ้า” โดยมีนายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมด้วย ผู้แทนกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรธรณี ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้า ปภ. จังหวัด 62 จังหวัด ร่วมประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดย ปภ. ติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่อย่างใกล้ชิด ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายและความเดือดร้อนแก่ประชาชน การประชุมครั้งนี้จึงจัดขึ้นเพื่อประเมินสถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่ม ตลอดจนการสนับสนุนการช่วยเหลือในพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ หากจังหวัดใดต้องการความช่วยเหลือให้รีบแจ้งมายังส่วนกลางโดยด่วน และหากพบพื้นที่เสี่ยงสูงที่ต้องประกาศเตือนภัยระดับสูงสุด ให้ประสานมายัง ปภ. เพื่อสามารถส่งสัญญาณเตือนภัยแก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงที พร้อมกันนี้ได้กำชับแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ 5 ด้าน ได้แก่
1. “ติดตามสถานการณ์” โดยให้ทุกจังหวัด ยังคงเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง และหากมีเหตุบ่งชี้ว่าพื้นที่ใดอาจเกิดอุทกภัยให้รีบแจ้งอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เตรียมรับสถานการณ์ล่วงหน้า
2. “เตรียมความพร้อมรับเหตุฉุกเฉินในพื้นที่” โดยให้ทุกจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่เสียงภัย เตรียมความพร้อมเพื่อรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละระดับ ตั้งแต่การรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน การเตรียมชุดปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ พร้อมออกปฏิบัติงานได้ทันทีที่ได้รับแจ้ง
3. “การปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย” โดยทุกพื้นที่ต้องให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่เป็นอันดับแรก หากมีผู้ประสบภัยติดค้างอยู่ในพื้นที่ประสบภัย และหากประเมินจะเป็นอันตรายให้อพยพนำผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่โดยเร็ว กรณีมีเหตุดินโคลนถล่มให้เร่งเข้าค้นหาผู้ประสบภัยให้เร็วที่สุด สำหรับพื้นที่ที่มีเหตุกำแพง พนังกั้นน้ำ กระสอบทรายกั้นน้ำชำรุดเสียหายทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ ให้จัดทีมเข้าซ่อมแซมโดยทันที และสำหรับพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ให้ประสานขอรับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่และศูนย์ ปภ.เขต เร่งรัดการสูบระบายน้ำ
4. “เร่งรัดจ่ายเงินช่วยเหลือหรือให้ความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง” ขอให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งรัด ลดขั้นตอน และระยะเวลาในการพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลัง หรือระเบียบกระทรวงมหาดไทยสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะในด้านการดำรงชีพ โดยไม่ต้องรอให้สิ้นสุด เพื่อให้ประชาชนผู้ประสบภัยมีความเชื่อมั่นในการดูแลของหน่วยงานภาครัฐ
5. “การเร่งฟื้นฟูบูรณะในพื้นที่ที่สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ” ให้จังหวัด อำเภอและองค์กรปกรองส่วนท้องถิ่นจัดทีมเข้าฟื้นฟูบูรณะสภาพพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การเก็บทำความสะอาดพื้นที่ การซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็ว
ทั้งนี้ ปภ. ได้เตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยและดินถล่มในทุกมิติ และขอเน้นย้ำให้เฝ้าระวัง ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศ และสถานการณ์น้ำในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งการติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานด้านพยากรณ์ การจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด การแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง ตลอดจนการสนับสนุนทรัพยากร เช่น เครื่องจักรกลสาธารณภัย และเต็นท์สนามเพื่อรองรับผู้ประสบภัยชั่วคราว โดยประชาชนสามารถติดตามข่าวสารสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือของ ปภ. ได้ทางเฟซบุ๊ก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารภัย DDPM และ X @DDPMNews และ สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784”
นอกจากนี้ ปภ. ยังมอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 14 อุดรธานี สนับสนุนเครื่องจักรกลสาธารณภัยและเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเลย โดยส่งรถสูบน้ำกู้ภัยเคลื่อนที่สมรรถนะสูงแบบโมบายยูนิต 1 คัน รถสูบน้ำระยะไกล 1 คัน และเครื่องสูบน้ำขนาดอัตราสูบ 28,000 ลิตรต่อนาที จำนวน 1 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ครบชุด เข้าสูบน้ำบริเวณหน้าเทศบาลเมืองเลย เร่งระบายน้ำที่ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนให้ลงสู่แม่น้ำเลย เพื่อลดระดับน้ำและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
(3 ก.ย. 68) ปภ. ยังได้รายงานเมื่อเวลา 06.00 น. สถานการณ์อุทกภัยและดินสไลด์ จากอิทธิพลพายุ “คาจิกิ” ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย และ พิษณุโลก ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,979 ครัวเรือน 6,390 คน ดังนี้
1. จังหวัดเชียงใหม่ เกิดฝนตกหนักทำให้ดินสไลด์ในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม ประชาชนได้รับผลกระทบ 769 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหาย 157 หลังคาเรือน มีผู้เสียชีวิต 8 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 ราย และสูญหาย 2 ราย ปัจจุบันอยู่ระหว่างค้นหาผู้สูญหาย
2. จังหวัดแม่ฮ่องสอน เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ อ.เมือง ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,801 ครัวเรือน ได้รับความเสียหาย 62 หลังคาเรือน 2,570 คน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย สูญหาย 1 ราย ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว และเร่งค้นหาผู้สูญหาย
3. จังหวัดสุโขทัย เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง ศรีสัชนาลัย สวรรคโลก ศรีนคร ศรีสำโรง และบ้านด่านลานหอย บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 373 ครัวเรือน 1,380 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันแม่น้ำยมระดับน้ำลดลง
4. จังหวัดพิษณุโลก เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.ชาติตระการ และเนินมะปราง ประชาชนได้รับผลกระทบ 36 ครัวเรือน 133 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันแม่น้ำยมระดับน้ำเพิ่มขึ้น
ส่วนสถานการณ์อุทกภัยและดินสไลด์ จากอิทธิพลพายุ “หนองฟ้า” ทำให้เกิดฝนตกหนัก ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2568 – ปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ เลย หนองบัวลำภู และชุมพร ประชาชนได้รับผลกระทบ 9,589 ครัวเรือน 32,094 คน ดังนี้
1. จังหวัดเพชรบูรณ์ เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.หล่มเก่า น้ำหนาว หล่มสัก อำเภอเมืองฯ และหนองไผ่ บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 7,747 ครัวเรือน 28,194 ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันแม่น้ำป่าสักระดับน้ำลดลง
2. จังหวัดอุตรดิตถ์ เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นอ่างเก็บน้ำคลองตรอนเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.ทองแสนขัน ตรอน และพิชัย ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,313 ครัวเรือน 4,858 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
3. จังหวัดเชียงใหม่ เกิดฝนตกหนักน้ำหลากเข้าท่วมในพื้นที่อำเภอเมือง เบื้องต้นความเสียหายอยู่ระหว่างการสำรวจ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว
4.จังหวัดเลย เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้มีน้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.ภูหลวง ภูกระดึง วังสะพุง ด่านซ้าย และอำเภอเมืองฯ ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,651 ครัวเรือน 3,193 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ภูกระดึง ด่านซ้าย และเมืองฯ ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
5. จังหวัดหนองบัวลำภู เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ ศรีบุญเรือง โนนสัง สุวรรณคูหา และ นาวัง ประชาชนได้รับผลกระทบ 85 ครัวเรือน 315 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
6. จังหวัดชุมพร เกิดฝนตกหนักทำให้มีดินสไลด์และน้ำท่วมขังในพื้นที่ อำเภอหลังสวน ประชาชนได้รับผลกระทบ 210 ครัวเรือน 777 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
ทางด้าน นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำและฝนในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคมนี้ จากการคาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยา ร่วมกับ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) พบว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ (วันที่ 2 – 6 ก.ย. 68) บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้จะมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับคาดการณ์ว่าใน 7 วันข้างหน้าจะมีปริมาณน้ำไหลมาจากภาคเหนือลงสู่ตอนกลางของประเทศผ่านที่จังหวัดนครสวรรค์ ในอัตราประมาณ 2,200-2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สทนช. จึงได้ระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานและคณะกรรมการในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำบางปะกง และลุ่มน้ำเจ้าพระยา ร่วมกันวางแผนบริหารจัดการน้ำและเตรียมการรองรับสถานการณ์ เขื่อนขนาดใหญ่ในตอนบนของประเทศ เช่น เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนภูมิพล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คาดว่าจะมีน้ำไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง จึงต้องวางแผนเพิ่มการระบายน้ำเพื่อป้องกันความเสี่ยงน้ำล้นและรักษาความมั่นคงของเขื่อน นอกจากนี้ กรมชลประทานได้เร่งระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระยะเวลาประมาณ 10-15 วัน เพื่อเพิ่มพื้นที่เหนือเขื่อนสำหรับรองรับปริมาณน้ำจากฝนตกหนักชุดต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณฝนมากในพื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง บริเวณจังหวัดอุทัยธานี และจังหวัดกำแพงเพชร สำหรับพื้นที่ท้ายเขื่อนที่ได้รับผลกระทบ ได้วางแนวทางช่วยเหลือประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนอกคันกั้นน้ำในพื้นที่ อำเภอเสนา บางบาล และผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วยผลกระทบในแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด