ศบ.ทก. ยืนยันชายแดนไทย–กัมพูชาสงบ สระแก้วสร้างรั้ว 16 กม. เสริมความมั่นคง เตรียมชง สมช. พิจารณา รัฐบาลเร่งเยียวยาผลกระทบ

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ศบ.ทก.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ฯ ครั้งที่ 31 โดยกล่าวว่า ที่ประชุมจะพิจารณาโรดแมปของ ศบ.ทก. เพื่อนำเสนอที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี รวมถึงกรณีพื้นที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เพื่อหาแนวปฏิบัติที่เหมาะสม พร้อมพิจารณาปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยนำรายงานจากศูนย์อพยพในจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอนมาพิจารณาให้ประชาชนมีโอกาสทำงานภายใต้การควบคุม พร้อมหารือวิธีบริหารจัดการแรงงาน

ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้ พล.อ.ณัฐพล ยืนยันว่า การดูแลชายแดนไทย–กัมพูชาไม่มีปัญหา เพราะมีกฎหมายจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 กำหนดอำนาจและกฎใช้กำลังของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ แม่ทัพภาค และผู้บัญชาการกองพล หากเกิดเหตุใดๆ กองกำลังตามแนวชายแดนพร้อมรับมือ ขณะที่การเจรจากับกัมพูชายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิกองบัญชาการกองทัพไทย และโฆษก ศบ.ทก. แถลงผลภายหลังการประชุมว่า สถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังเฝ้าระวัง โดยภาพรวมอยู่ในภาวะสงบ ส่วนการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT – Thailand) บริเวณชายแดนจันทบุรี–ตราด ได้สำรวจหลักเขตแดนที่ 73 เขตแดนสุดท้ายทางบกที่แสดงเขตปักปันชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด และเยี่ยมชมการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกองทัพเรือที่กองร้อยทหารพราน 537 พร้อมตรวจเยี่ยมสถานที่พักพิงชาวกัมพูชาที่อพยพในสงครามปี 2521–2532 และรับฟังบรรยายสรุปจากกองกำลังป้องกันชายแดนเพื่อสร้างความมั่นใจว่าการปฏิบัติเป็นไปตามข้อตกลงหยุดยิง หลักมนุษยธรรม และโปร่งใส โดยรายงานทั้งหมดจะส่งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรัฐมนตรีกลาโหมของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ คณะผู้สังเกตการณ์เน้นย้ำว่าไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด แต่จะสังเกตการณ์ และรายงานอย่างเป็นธรรม

สำหรับการเตรียมจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 7–10 กันยายน 2568 ที่ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การประชุมฝ่ายเลขาธิการร่วมวันที่ 7–9 กันยายน 2568 และการประชุม GBC หลัก พร้อมแถลงผลในวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ จ.ตราด

นอกจากนี้ ยังติดตามบริหารจัดการพื้นที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว โดยนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ชี้แจงแนวทางการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับประชาชนชาวไทย ในพื้นที่มีแผนการจัดสร้างรั้วระยะทาง 16 กิโลเมตร บริเวณหลักเขตแดนที่ 50-51 มีการสำรวจและได้ข้อยุติเรียบร้อยแล้ว พร้อมสำรวจสิทธิการครอบครองที่ดินและใช้มาตรการทางกฎหมายไทยดำเนินการกับชาวกัมพูชา
ที่บุกรุกพื้นที่ รวมถึงแจ้งความกรณีบุกรุกป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ โดย ศบ.ทก. เห็นชอบในหลักการและจะนำเสนอต่อ สมช. เพื่อพิจารณาต่อไป

นางมาระตี นะลิตา รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงได้ดำเนินการเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26–28 สิงหาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับความตึงเครียดไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะเหตุวางระเบิดในเขตแดนไทย ชี้แจงต่อประธานรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ และข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างโปร่งใส โดยไทยยังเข้าร่วมโครงการรณรงค์ของเลขาธิการสหประชาชาติด้านการลดอาวุธและการจัดการระเบิด พร้อมส่งหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 6 ครั้ง เพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิด และผลักดันการเก็บกู้ร่วมกับกัมพูชาภายใต้กลไกทวิภาคีและข้อตกลงหยุดยิง ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ และแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ยังชี้แจงกรณีหนังสือพิมพ์ขแมร์ไทม์บิดเบือนข้อเท็จจริงอ้างว่าชาวกัมพูชาไม่สามารถกลับภูมิลำเนาได้จากผลอาวุธตกค้างของฝ่ายไทย แต่การกระทำในพื้นที่กลับสวนทางกับข้อกล่าวหาของกัมพูชา ซึ่งเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ลอบวางระเบิด สังหารบุคคลด้วยโดรน และใช้ระเบิดแสวงเครื่องในฝั่งไทย หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมยังชี้ให้เห็นว่าฐานปฏิบัติการของกัมพูชามีมาก่อนเกิดการปะทะ สอดคล้องกับที่ไทยชี้แจงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี

อย่างไรก็ตาม ไทยหวังให้กัมพูชาให้ความร่วมมือในสองประเด็นสำคัญ คือ การเก็บกู้ระเบิดสังหารบุคคล และปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ ผ่านกลไกทวิภาคี โดยไทยยืนยันจะร่วมมือหาทางออกด้วยสันติ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดน ลดความตึงเครียด และสร้างสันติภาพยั่งยืน

ขณะที่ นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานความคืบหน้าการดูแลเยียวยาประชาชนจากเหตุความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม – 2 กันยายน 2568 เกิดเหตุรวม 45 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 22 ราย บาดเจ็บ 40 ราย บ้านเรือนเสียหาย 885 หลัง ซ่อมแล้ว 683 หลัง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 556 ไร่ ปศุสัตว์ตายและสูญหายรวมกว่า 872 ตัว โรงเรียน 29 แห่ง สถานที่ศาสนา 2 แห่ง และสถานพยาบาล 1 แห่ง รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาแล้วจำนวน 34,346,022.57 บาท แบ่งเป็นเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต 32,108,658.57 บาท ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 2,237,364 บาท ในส่วนการจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้ ภายใต้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด ใช้จ่ายไปแล้ว 201,371,391 บาท ให้ 6 จังหวัดหลัก ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว และตราด โดยมีความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ อีก 2,090,024 บาท

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังมีมติเห็นชอบการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ครอบคลุมผู้เสียชีวิตและทุพพลภาพ 17 ราย รวม 136 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บสาหัส 37 ราย รวม 29.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 165.6 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้ประชาชนได้รับเงินเยียวยาอย่างครบถ้วนโดยเร็วที่สุด พร้อมย้ำ รัฐบาลยืนยันหลักการว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และจะเดินหน้าคลี่คลายสถานการณ์ให้เข้าสู่ความสงบอย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง