“มหาดไทย” ย้ำทุกจังหวัดเสี่ยงอุทกภัยใช้กลไกผู้นำท้องถิ่น สร้างการรับรู้ประชาชน เตรียมพร้อมรับมือ อพยพได้ทันที

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มจากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” และพายุ “หนองฟ้า” โดยมี นายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รศ.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการเตือนภัย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมประชุม พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 62 จังหวัด รวมถึงผู้แทนกรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์

นางสาวธีรรัตน์ ได้รับฟังรายงานสรุปสถานการณ์ภาพรวมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและรองผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ที่ยังมีสถานการณ์ ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย เชียงใหม่ และ แม่ฮ่องสอน ซึ่งในขณะนี้พบว่า หลายพื้นที่สถานการณ์ได้คลี่คลาย โดยอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ขออนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด จากเดิมจังหวัดละ 20 ล้านบาท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย และแม่ฮ่องสอน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัย (ภัยพายุคาจิกิ และภัยจากพายุหนองฟ้า) เพิ่มเติม จำนวน 50 ล้านบาท และในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพิ่มเติม จำนวน 20 ล้านบาท รวม 120 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม บ้านเรือน และพื้นที่ทางการเกษตร ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้แจ้งทั้ง 3 จังหวัด เร่งรัดการช่วยเหลือเยียวยาให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้การสื่อสารเพื่อให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากธรรมชาติของประชาชนมักจะยังไม่อพยพหากยังไม่เห็นสถานการณ์น้ำท่วมอย่างชัดเจน ดังนั้นบุคลากรในพื้นที่และหน่วยงานท้องถิ่นจำเป็นต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งดำเนินการขนย้ายและอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยให้ได้มากที่สุด โดยอาศัยข้อมูลการพยากรณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ แม้ว่าสถานการณ์อาจไม่เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม จึงขอให้ทุกภาคส่วนทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ในการสื่อสาร สร้างการรับรู้ และให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนและรอบด้าน เพื่อป้องกันความสูญเสียและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมเน้นย้ำข้อสั่งการเพิ่มเติม 4 แนวทาง เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นระบบเพื่อประโยชน์ประชาชน ได้แก่

1. ให้ทุกภาคส่วนได้ดูแลประชาชนทั้งในการดำรงชีพ มีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว จัดหน่วยแพทย์ดูแลสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็ว ในกรณีมีผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บให้ติดตามการให้ความช่วยเหลือเร่งเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจแก่ญาติผู้ประสบภัย

2. ในพื้นที่ที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ให้เร่งสำรวจซ่อมแซมและฟื้นฟูด้านต่างๆ ทั้งบ้านเรือนที่พักอาศัย ระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา ระบบสื่อสาร เส้นทางคมนาคม เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

3. การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ในห้วงต่อไป ให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดโดยใช้กลไกมหาดไทยทุกระดับ ทั้งจังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน แจ้งเตือนประชาชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และให้เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ทุกด้านไว้ล่วงหน้าครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การแจ้งเตือน การจัดชุดปฏิบัติการ ศูนย์พักพิงชั่วคราว เครื่องมืออุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมออกปฏิบัติได้ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสาร 2 ทางทั้งจากพื้นที่มายังส่วนกลาง และส่วนกลางไปยังพื้นที่

4. ให้จังหวัดถอดบทเรียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะต่อไป เพื่อนำไปกำหนดแนวทางมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะต่อไปให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสูญเสีย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงพื้นที่
ที่เป็นจุดเสี่ยงซ้ำ

รศ.เสรี กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการสื่อสารให้กับประชาชนได้เตรียมการ ต้องสื่อสาร 2 ทาง หากจะรอการแจ้งเตือนจาก Cell Broadcast ซึ่งเป็นระบบจากส่วนกลางแจ้งเตือนในวงกว้าง อาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์จริงในพื้นที่ จึงขอให้จังหวัดได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนในทุกช่องทาง เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกที่มีความใกล้ชิดและสำคัญที่สุดกับการสื่อสารในภาวะวิกฤต

ด้านนายบุญธรรม กล่าวว่า ระบบเตือนผ่านหอกระจายข่าวและเสียงตามสายประจำหมู่บ้าน ชุมชน และหอเตือนภัย ในท้องถิ่นเป็นเรื่องสำคัญและมีความจำเป็น โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่เสี่ยง ที่จะต้องประสานผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเข้าใจ เพื่อติดตั้งระบบดังกล่าว

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความห่วงใยสถานการณ์น้ำในหลายลุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของ พายุ “หนองฟ้า” และร่องมรสุมพาดผ่าน โดยเฉพาะในลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำยม และลุ่มน้ำน่าน สำหรับลุ่มน้ำป่าสัก ได้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลานานในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำ ลำน้ำ และห้วยต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดน้ำไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่ทางการเกษตรของประชาชนบริเวณอำเภอหล่มเก่า น้ำหนาว หล่มสัก เมืองเพชรบูรณ์ และหนองไผ่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งอพยพผู้ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางไปยังที่ปลอดภัย และขนย้ายสิ่งของขึ้นสู่ที่สูง โดยปัจจุบันระดับน้ำลดต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และปริมาณน้ำทั้งหมดจะไหลลงสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คาดว่าในอีก 7 วันข้างหน้า ปริมาณน้ำในเขื่อนจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 35 ของความจุเก็บกัก เป็นร้อยละ 45 ของความจุเก็บกัก ขณะที่ลุ่มน้ำน่าน ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ตอนใต้ของเขื่อนสิริกิติ์ ส่งผลให้แม่น้ำน่านบริเวณตัวเมืองย่านเศรษฐกิจของจังหวัดพิษณุโลก มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันเหลืออีกเพียงไม่ถึง 1 เมตรจะล้นตลิ่ง แม้จะปรับลดการระบายน้ำเป็นกรณีเร่งด่วน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา จาก 50 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เป็น 25 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อหน่วงน้ำตอนบน แต่ปริมาณน้ำในเขื่อนยังมีมากถึงร้อยละ 86 ของความจุเก็บกัก จึงจำเป็นต้องทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดจนถึง 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ในช่วงวันที่ 5 – 7 กันยายน 2568 โดยหน่วยงานจะพิจารณาปรับเพิ่มและลดการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา และขอยืนยันว่าเขื่อนยังคงมีความมั่นคงแข็งแรงดี

ทางด้านลุ่มน้ำยม ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนแม่มอกเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 104 ของความจุเก็บกัก ซึ่งเกินระดับกักเก็บ และมีน้ำล้นผ่านทางระบายน้ำล้น (Spillway) ในระดับ 0.35 เมตร ทำให้ระดับน้ำในลุ่มน้ำเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ลำน้ำแม่มอกยังคงมีศักยภาพเพียงพอในการรองรับปริมาณน้ำดังกล่าวได้ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ สทนช. ใช้ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ร่วมกับศูนย์ส่วนหน้าฯ ลุ่มน้ำยม – น่าน บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด

ขณะที่การดูแลกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ทีม พม. หนึ่งเดียวจังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวโรงเรียนบ้านปางอุ๋ง อำเภอแม่แจ่ม มีจำนวนผู้เข้าพัก 145 ราย ได้เข้าพูดคุยให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย และให้คำปรึกษาแนะนำในการช่วยเหลือเรื่องสิทธิสวัสดิการสังคม พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า สอบถามข้อเท็จจริงจากผู้ประสบภัย เพื่อพิจารณาวางแผนการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ทีม พม.หนึ่งเดียวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา “ร่วมใจฟื้นฟูโรงเรียนบ้านน้ำเพียงดิน” ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 และลงพื้นที่บ้านผาบ่อง ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อเยี่ยมครอบครัวเด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ จำนวน 10 ครอบครัว และครอบครัวกลุ่มเปราะบางอีก 5 ครอบครัว

ส่วนทีม พม.หนึ่งเดียวจังหวัดสุโขทัย ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งผู้ประสบภัยที่เป็นกลุ่มเปราะบางจากศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี (วัดคูหาสุวรรณ) อำเภอเมืองสุโขทัย ให้กลับคืนสู่ที่พักอาศัยและได้ปิดศูนย์

ปภ. แนะนำการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ

– จัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น เครื่องอุปโภคบริโภค อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค
ไฟฉาย เป็นต้น

– เรียนรู้ข้อควรปฏิบัติ วิธีป้องกันตนเองเมื่อเกิดภัยพิบัติ การช่วยเหลือ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น วิธีใช้งานอุปกรณ์ดับเพลิง การเปิด – ปิดระบบไฟฟ้า ประปา และอุปกรณ์ถังก๊าซ

– จดจำหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานสำคัญ โดยเฉพาะหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง โรงพยาบาล สำหรับติดต่อแจ้งเหตุและประสานขอความช่วยเหลือ

– ติดตามข้อมูลสถานการณ์ ระดับการขึ้น – ลงของน้ำในแม่น้ำ ระดับน้ำทะเลหนุน จะได้สามารถคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ภัยและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติได้ทันท่วงที

– ตรวจสอบบ้านเรือนให้อยู่ในสภาพปลอดภัยมีโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง ตัดแต่งกิ่งไม้และโค่นต้นไม้ที่เสี่ยงต่อการล้มทับ

– วางแผนเส้นทางการอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยเรียนรู้ จดจำเส้นทางหนีภัย จุดนัดพบที่ปลอดภัย
ไว้หลายแห่งในทุกทิศทาง

– เอกสารสำคัญต่างๆ ให้เก็บไว้ในถุงพลาสติกกันน้ำ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน สูติบัตร สำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น บัตรประกันสังคม กรมธรรม์ประกันชีวิต ภาพถ่ายของคนในครอบครัว เป็นต้น พร้อมถ่ายสำเนาไว้ หลายๆ ชุด เพื่อป้องกันการสูญหาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง