ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรื่องระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพิ่มเติมเป็นพิเศษในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 โดยระบุว่า ด้วยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มีคำสั่งให้บรรจุเรื่องตามระเบียบวาระเรื่องที่ 8 พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพิ่มเติม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568
กระบวนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
1. เสนอชื่อผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 25 คนขึ้นไป มีสิทธิเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีต่อสภาผู้แทนราษฎร รายชื่อผู้ถูกเสนอจะต้องอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี ที่แต่ละพรรคแจ้งไว้ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนการเลือกตั้ง
2. การเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ โหวตได้เฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (492 คน) ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (247 คน) เนื่องจากนายกรัฐมนตรีถูกวินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง วุฒิสภาจึงไม่มีสิทธิ์โหวต
3. กรณีไม่มีผู้ใดได้เสียงถึงเกณฑ์ต้องมีการโหวตรอบต่อไป หากมีผู้สมัครหลายคน อาจมีการต่อรองหรือการจับมือระหว่างพรรคการเมือง เพื่อรวมเสียงสนับสนุน
4. กรณีที่ไม่สามารถเลือกได้จากบัญชีรายชื่อที่เสนอไว้ อาจมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อให้สามารถเสนอคนนอกบัญชีได้ (ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภา หรือ 500 เสียงขึ้นไป)
5. หลังจากได้ผู้ชนะการโหวต ประธานรัฐสภาจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เมื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว ผู้ได้รับเลือกจึงจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
(4 ก.ย. 68) ส่วนขั้นตอนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้ให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปบรรจุวาระการเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องด่วนพิเศษในการประชุมวันที่ 5 กันยายน 2568 เมื่อถึงวาระนี้เป็นเรื่องที่สมาชิกจะเสนอชื่อบุคคล ส่วนผู้ได้รับการเสนอชื่อจะต้องแสดงวิสัยทัศน์หรือไม่นั้น เนื่องจากไม่มีข้อบังคับและรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ไม่เหมือนการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ต้องแสดงวิสัยทัศน์เพื่อให้สมาชิกเลือก โดยในขณะที่มีการเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีการแสดงวิสัยทัศน์ เพราะเป็นบุคคลนอก เช่นเดียวกับนายเศรษฐา ทวีสิน และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการเสนอชื่อบุคคลที่เป็น สส. ในสภาฯ หรือบุคคลนอก ดังนั้นการแสดงวิสัยทัศน์ขึ้นอยู่กับผู้ถูกเสนอชื่อ เช่น ในครั้งที่เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีการแจ้งความจำนงว่าเมื่อเสนอชื่อแล้ว จะขอแสดงวิสัยทัศน์แก่คนที่จะเลือก สภาฯ ได้ให้เวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนี้จึงขึ้นอยู่ที่สภาฯ ว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรที่จะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ
ทั้งนี้การแสดงความคิดเห็นของสมาชิกพรรคต่อบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี น่าจะเป็นเหตุผลของการเสนอชื่อ แต่การอภิปรายเรื่องความรู้ ความสามารถ หรือปัญหาของแต่ละคนไม่ใช่วาระนี้ อย่างไรก็ตามหากเกิดพลิกขั้วรัฐบาลแล้วจะกระทบกับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ขอให้ไปดูรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ ซึ่งที่ผ่านมารัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 ระบุว่าตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องเลือกจากสมาชิก การพ้นตำแหน่งมี 2 ประการ คือลาออกหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่ไม่ได้เป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากำหนดตำแหน่งนี้
ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 โดยพรรคประชาชนจะโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่ต้องปฏิบัติตาม 5 เงื่อนไข ประกอบด้วย
1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาใน 4 เดือน นับแต่วันแถลงนโยบายต่อสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
2. กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่จำเป็นต้องทำประชามติ ก่อนสภาแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส.
3. กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่จำเป็นต้องออกเสียงประชามติ ก่อนสภาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยจะต้อง
เร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีการทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จในวาระของสภาชุดนี้โดยเร็ว
4. เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาใน 4 เดือน พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการใด เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
5. พรรคประชาชนยืนยันการเป็นฝ่ายค้านต่อไป ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่ เต็มที่ และไม่มีบุคคลใดดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงนามรับ 5 เงื่อนไขพรรคประชาชน พร้อมนำตัวแทนพรรคร่วมแถลงจัดตั้งรัฐบาล ขอบคุณพรรคประชาชนที่มีมติสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ โดยพรรคภูมิใจไทย และ สส. ทั้ง 146 คน ได้มอบรายชื่อพร้อมลงลายเซ็นให้พรรคประชาชนเพื่อแสดงเป็นหลักฐานคำมั่น ยืนยันจะรักษาข้อตกลงทั้ง 5 ข้อที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน และจะดำรงสภาพเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ย้ำ จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มความสามารถตลอดระยะเวลา 4 เดือน
สำหรับพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อศาสตราจารย์ชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยศาสตราจารย์ชัยเกษม แถลงยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยตอบรับข้อเสนอทุกข้อของพรรคประชาชน และหากได้รับเสียงสนับสนุนจะประกาศยุบสภาทันทีไม่รอครบกำหนด 4 เดือน เพื่อคืนอำนาจประชาชนเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยต่อไป ถือเป็นสัญญาที่ทำให้กับประชาชนและ สส. โดยจะปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ไม่มีข้อเปลี่ยนแปลงไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ใดๆ
ส่วนเรื่องร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงว่า ในช่วงที่การเมืองยังสับสน จึงชี้แจงให้เกิดความกระจ่างชัด ดังนี้ รัฐบาลได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรและส่งให้สำนักงานองคมนตรีพิจารณาแล้วเมื่อเย็นวันที่ 2 กันยายน 2568 ต่อมาได้รับแจ้งจากสำนักงานองคมนตรี ว่ายังมีประเด็นข้อกฎหมายที่มีการโต้แย้งและยังไม่เป็นข้อยุติ โดยเฉพาะประเด็นอำนาจของรองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในการถวายคำแนะนำ จึงยังไม่เห็นสมควรนำร่างพระราชกฤษฎีกาขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในเวลานี้ รัฐบาลเคารพในขั้นตอนและหลักนิติธรรมทุกประการ และจะนำกลับมาทบทวนและพิจารณาเพื่อให้เกิดความเหมาะสมถูกต้อง แต่ขอย้ำชัดว่า เจตนารมณ์ของรัฐบาลคือการคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด และเมื่อพรรคประชาชนได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะโหวตสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย และมีการบรรจุวาระเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ทุกพรรคการเมืองต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ ให้ประชาชนได้เห็นว่ากลไก
สภายังคงทำงานตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ