พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่า สถานการณ์โดยทั่วไป ทั้ง 2 ฝ่ายยังตรึงกำลังในที่ตั้ง และภาพรวมอยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์สำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่วนเรื่องการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 7-10 กันยายน 2568 ที่จังหวัด เกาะกงประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพันธกรณี เพื่อสานต่อจากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซีย ที่กำหนดว่าจะมีการประชุม GBC อีกครั้งภายใน 1 เดือนจากวันประชุม JBC เพื่อติดตามความคืบหน้าของการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (Regional Border Committee : RBC)
การประชุม GBC นั้นขอเน้นย้ำว่ามีวัตถุประสงค์หลักจัดขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาสถานการณ์ความตึงเครียดในห้วงเวลาที่ผ่านมาโดยสันติวิธีเพื่อให้ประชาชนของทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งจะเป็นการประชุมสมัยวิสามัญขอให้ประชาชนติดตามความคืบหน้าและผลการประชุมต่อไป
ส่วนบทบาทหน้าที่หรือท่าทีของ ศบ.ทก. ช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล ขอให้ความมั่นใจและขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของชาติโดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชา และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมีกฎหมายรับรองอยู่แล้ว ซึ่งได้มีการมอบอำนาจให้กับผู้บังคับบัญชาหน่วยในทุกระดับตั้งแต่ผู้บัญชาการสูงสุด ตลอดจนผู้บัญชาการเหล่าทัพ แม่ทัพภาค ผู้บัญชาการกองกำลังต่างๆ รวมถึงผู้บังคับบัญชา ของหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศสามารถดำเนินการได้ตามตัวบทกฎหมาย โดยมีกฎการใช้กำลัง ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน มีกฎหมายรองรับ ตามพระราชบัญญัติ จัดระเบียบ ราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่น ถึงแม้ ศบ.ทก. จะมีบทบาทที่น้อยลง แต่การปฏิบัติของกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ตลอดจนหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและพร้อมปฏิบัติงาน มีกลไกรองรับในทุกๆ สถานการณ์และทุกๆ กรณี
ทางด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการใช้พลเรือนสร้างความวุ่นวายจากกรณีเหตุการณ์ประท้วงของประชาชนกัมพูชา บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ว่า กองทัพบกได้ออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าว และต่อมากระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ประท้วงรัฐบาลไทย โดยสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้นำข้อความดังกล่าวมาโพสต์ในโซเชียลมีเดียของตนเอง โดยอ้างว่าการดำเนินการของฝ่ายไทยได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชุมชนกัมพูชาในพื้นที่ รัฐบาลไทยยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตไทย และกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบโต้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว พร้อมย้ำว่ามาตรการและการดำเนินการต่างๆ ของไทยอยู่ในเขตอธิปไตยของไทยอย่างสมบูรณ์ โดยดำเนินการตามกฎหมายไทยซึ่งสอดคล้องกับหลักการสากล และหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งกระบวนการทุกขั้นตอนกระทำอย่างรอบคอบผ่านการพิจารณาของ ศบ.ทก. และความเห็นชอบของสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.
แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือ ฝ่ายกัมพูชายังคงเบี่ยงเบนประเด็น โดยการกล่าวอ้างซ้ำๆ ว่าประชาชนของตนเองอยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน แสดงถึงการไม่เคารพต่อข้อตกลง และพันธกรณีระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนและเขตอธิปไตยของไทย อีกทั้งฝ่ายกัมพูชาได้นำพลเรือนออกมาอยู่แนวหน้าในพื้นที่ โดยบางส่วนถืออาวุธ และใช้ถ้อยคำยั่วยุพยายามขับไล่ทหารไทยที่กำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ จึงขอยืนยันว่า การดำเนินการของทางฝ่ายไทยเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของไทยในการปกป้องอธิปไตย ยิ่งไปกว่านั้นถือได้ว่ากัมพูชาไม่เคารพข้อตกลงหยุดยิง และกรอบการหารือของ GBC และ RBC ซึ่งการกระทำดังกล่าวของกัมพูชาไม่ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่สร้างสรรค์และยังบั่นทอนบรรยากาศแห่งสันติภาพอย่างร้ายแรง ไทยขอประณามพฤติกรรมเหล่านี้และขอย้ำอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไทยไม่มีนโยบายทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างที่กัมพูชากระทำอยู่ และกองทัพไทยยังคงตรึงกำลังอดทนอดกลั้นปฏิบัติตามมาตรการที่ได้เตรียมไว้ด้วยสันติวิธี เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายบนพื้นฐานปกป้องอธิปไตยภายใต้ข้อเท็จจริงของกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชา ยุติการการปลุกระดมและหยุดการจัดฉากทั้งปวงที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการคลี่คลายสถานการณ์ที่ยังมีความตึงเครียดอยู่ในขณะนี้ และหวังว่ากัมพูชาจะเลือกเส้นทางที่จริงใจและมีความรับผิดชอบต่อไป เพื่อให้ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ในช่วงที่ผ่านมายังพบว่าฝ่ายกัมพูชายังคงเผยแพร่ข่าวปลอม ข่าวลวง และข่าวบิดเบือน มาอย่างต่อเนื่องทั้งสื่อภาครัฐ ช่องทางออนไลน์ และบางครั้งได้รับข่าวว่ามีการปิดกั้นไม่ให้ประชาชนของกัมพูชาเข้าถึงเว็บไซต์ของฝ่ายไทย ทั้งหมดเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง สำหรับไทยจะไม่ตอบโต้ด้วยการบิดเบือนเพื่อหลอกลวงนานาประเทศ แต่จะยืนหยัดข้อเท็จจริง หลักฐานที่พิสูจน์ได้และหลักการระหว่างประเทศที่ประชาคมโลกยอมรับ เพราะความจริงและความถูกต้องเท่านั้นที่จะนำไปสู่สันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการประชุม GBC ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฝ่ายกัมพูชาจะแสดงความจริงใจและความตั้งใจที่จะพูดคุยแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ด้วยสินติวิธีและร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และนำไปสู่บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างจริงจัง
ขณะที่นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า แม้จะอยู่ในช่วงรอยต่อทางการเมือง การดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่สะดุด โดยทุกกระทรวง ได้ร่วมบูรณาการทำงานอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดสรรงบประมาณสำหรับเยียวยาผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมและทั่วถึงที่สุด
ส่วนการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายฉัตรชัย เปิดเผยภายหลังการประชุม สมช.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรอบการประชุม GBC ที่ฝ่ายเลขานุการของไทยจะนำไปหารือกับฝ่ายเลขานุการของกัมพูชาและเมื่อได้กรอบแล้วจะนำเรื่องที่ทุกฝ่ายเห็นชอบตามที่ตกลงกันนำมาเสนอเข้าที่ประชุม สมช. พิจารณาในวันที่ 8 กันยายน 2568 เพื่อพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 กันยายน 2568 หลังจากนั้นจะมีการจัดประชุม GBC อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 กันยายน 2568 ส่วนรายละเอียดกรอบและประเด็นที่จะเจรจายังไม่ขอเปิดเผยจนกว่าการหารือจะเรียบร้อย ทั้งนี้ในช่วงกรอบเวลาดังกล่าวระหว่างวันที่ 8-10 กันยายน 2568 ทาง สมช. ได้มีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับการยืนยันว่าคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐบาลรักษาการจนกว่าจะมีการถวายสัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ดังนั้นการประชุม สมช.ในวันที่ 8 กันยายนนี้ ยังคงเป็นไปตามปกติ โดยมีนายภูมิธรรมทำหน้าที่ประธานการประชุม สมช. ตามเดิม ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง