ภายหลังจากเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเลือกให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง ซึ่งเกินกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 247 คน ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 492 คน โดยมีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้
1. วันที่ 6 กันยายน 2568 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำรายชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32
2. เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี จากนั้นจะประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
ในราชกิจจานุเบกษาถือว่าได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
3. การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรีจะดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง และเมื่อคัดเลือกได้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้น ทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
4. หลังจากได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะรัฐมนตรีจะต้องเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ เพื่อเป็นการยืนยันความจงรักภักดีและการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
5. จากนั้นภายใน 15 วันหลังจากคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ฯ นายกรัฐมนตรีจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162) และภายหลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีจึงจะเริ่มบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเป็นทางการ
(6 ก.ย. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้นำทีมบุคคลสำคัญที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อหน้าสื่อมวลชน ณ ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย
นายอนุทินได้แนะนำ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ เตรียมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยมั่นใจในความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสมจากหลายกรมในกระทรวงการคลัง พร้อมภารกิจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจเดินหน้าฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” เพื่อตอบโจทย์ประชาชน
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ที่จะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยย้ำว่า เป็นชื่อที่นานาชาติยอมรับ และจะเข้ามารับมือกับปัญหาความสัมพันธ์ชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงการจัดการ MOU 43 และ 44 ที่เป็นประเด็นร้อนในเวลานี้
ด้านพลังงาน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เดินทางมาสมทบภายหลัง และคาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ทั้งนี้ การเลือกบุคคลเข้ามาในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ยึดหลักความสามารถและความรู้จริงในวิชาชีพ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะต้อง “ทำงานได้ทันที” ไม่เสียเวลาเรียนรู้งาน พร้อมเน้นความสามัคคีของทุกฝ่าย โดยวางเป้าหมายภายใน 4 เดือนก่อนการยุบสภา ว่าจะต้องมีผลงานเป็นรูปธรรมให้ประชาชนเห็น พร้อมประกาศแนวทางว่า “สิ่งใดที่ดีอยู่แล้ว จะไม่ล้มเลิก แต่จะสานต่อเพื่อประชาชน”
ทางด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องการฟื้นคืนโครงการ “คนละครึ่ง” ว่ากรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทีมนโยบายมีการพูดคุยกันว่านโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น จะมีอะไรบ้างซึ่งโครงการคนละครึ่งเป็นหนึ่งในนั้น แต่อาจจะมีอะไรที่มากกว่า เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น
พรรคภูมิใจไทยรับฟังถึงโครงการต่างๆ ที่เป็นโครงการที่ดีในอดีต คิดว่าโครงการเหล่านี้น่าจะนำมาต่อยอดได้และทำให้ดีขึ้น ข้อผิดพลาดของหลายโครงการที่ผ่านมาในอดีตไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ถ้าดีแต่ยังมีข้อผิดพลาดจะนำมาปรับปรุง ส่วนกรณีมีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่ามองโครงการ “คนละครึ่ง” ได้ผลดีมากกว่าโครงการเงินดิจิทัลหรือไม่นั้น หากดูจากกระแสตอบรับทางโซเซียลมีเดียและสื่อต่างๆ คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นเงินที่ใช้ในระบบไม่ได้มากเท่า แต่ความรู้สึกของคนในเรื่องการหมุนของเงินน่าจะดีกว่า
หากมีการแถลงนโยบายอย่างเป็นทางการ นายอนุทิน คงจะสั่งการโดยจะทำให้เร็วที่สุด ซึ่งแนวทางที่ได้หารือกันไม่เน้นการลงทุนกับแอปพลิเคชันใหม่หากระบบรัฐตัวไหนที่ดีจะใช้ต่อส่วนงบประมาณที่ใช้นั้นยังไม่ได้ ดูในรายละเอียดเป็นการพูดคุยในหลักการเท่านั้นต้องดูว่ามีงบประมาณเท่าใด ซึ่งนโยบายหลักต้องรอนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรามีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ทั้งหมดต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมย้ำว่าการผลักดันโครงการดังกล่าวจุดประสงค์หลักคือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ