กระทรวงแรงงาน เร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานจากเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อธุรกิจเดินต่อได้

กระทรวงแรงงาน กำหนดนโยบายแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานจากเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินต่อได้ และแรงงานได้รับการคุ้มครอง โดยขอให้แรงงาน 4 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม จัดเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมรอการเปิดขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เปิดขึ้นทะเบียนแต่ขอให้ติดตามข้อมูลได้ที่เพจกระทรวงแรงงาน ส่วนนายจ้างหรือผู้ประกอบการหากขาดแรงงานเร่งด่วน ติดต่อกระทรวงแรงงานได้ทันที ซึ่งแนวทางเร่งด่วนให้ใช้แรงงานชาวเมียนมาที่ชายแดนเข้ามาสนับสนุน ส่วนแรงงานทดแทนจากประเทศอื่น ๆ อยู่ระหว่างดำเนินการจะประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

ข้อควรระวังสำหรับแรงงานทุกคน (Important Notice) ขออย่าหลงเชื่อการเรียกเก็บค่านายหน้าเกินจริง หรือการให้จ่ายเงินล่วงหน้านานเกินไป หากถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวง สามารถติดต่อกระทรวงแรงงานโดยตรง หรือสายด่วน 1506

สำหรับแรงงานชาวเมียนมาที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 กระทรวงแรงงาน ขอแจ้งนายจ้างและแรงงานเมียนมาทั่วประเทศ ว่ารัฐบาลมีมติผ่อนผันให้อยู่และทำงานต่อได้อีก 6 เดือน แต่ต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนและต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้เรียบร้อย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้หากแรงงานชาวเมียนมาที่ใบอนุญาตหมดอายุ หรือกรณีนายจ้างที่มีลูกจ้างชาวเมียนมาใบอนุญาตหมดอายุ หากมีปัญหาหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถพิมพ์ความคิดเห็นไว้ใต้โพสต์ของเพจกระทรวงแรงงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดต่อและให้คำแนะนำได้ ยืนยันว่ากระทรวงแรงงาน พร้อมช่วยเหลือและดูแลแรงงานทุกกลุ่ม ให้ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้กระทรวงแรงงาน ยังได้แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานด้วยการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชา ที่ถือบัตรผ่านแดน (Border Pass) ทำงานบริเวณชายแดน พิจารณาให้คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพื่อทำงานได้ไม่เกิน 1 ปี

จากปัญหาขาดแคลนแรงงานจากการเดินทางกลับภูมิลำเนาของแรงงานชาวกัมพูชา เนื่องจากเหตุไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ได้อนุมัติมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เป็น 2 แนวทาง คือ

1. แนวทางบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

(1) ผ่อนผันให้กลุ่มคนต่างด้าวเป้าหมาย ประกอบด้วยสัญชาติ กัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ไม่ได้ต่ออายุการทำงานได้ครบทุกขั้นตอน และที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบในครั้งนี้และประสงค์จะทำงาน ประกอบด้วยสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา (เหตุที่ไม่มีเวียดนาม เนื่องจากเขตแดนไม่ได้ติดต่อกันจึงไม่มีการลักลอบเข้ามา โดยช่องทางธรรมชาติ)

(2) ให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว และชำระเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ณ สถานที่ ที่กรมการจัดหางานกำหนดและให้คนต่างด้าวไปดำเนินการตรวจสุขภาพ ณ สถานพยาบาลของรัฐ หรือสถานพยาบาลเอกชน กรณีคนต่างด้าวที่ทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างที่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน ส่วนคนต่างด้าวที่ทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ให้ทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพ แรงงานต่างด้าว หรือทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย

(3) คนต่างด้าวจะได้รับอนุญาตทำงาน 1 ปี และให้คนต่างด้าวดังกล่าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปดำเนินการจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ขอรับการตรวจลงตราต่อไป สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาจะต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองด้วย ซึ่งเป็นการกำหนดเพิ่มเติมซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคง

2. แนวทางการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่นเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งได้กำหนดให้มีการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่นๆ เข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศไทยผ่านระบบ MOU (อนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานเป็นระยะเวลา 2 ปี และสามารถต่ออายุได้อีก 2 ปี หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับคนต่างด้าวสัญชาติอื่นที่เข้ามาทำงานตามระบบ MOU) ซึ่งในระยะแรกเป็นการนำร่องโดยการนำคนต่างด้าว สัญชาติศรีลังกาเข้ามาทำงานได้ กำหนดจำนวนไว้ 10,000 คน เพื่อทดแทนแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศ และนำเข้าคนต่างด้าวสัญชาติอื่นๆ เช่น เนปาล บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งหากการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และนายจ้างมีความต้องการจ้างแรงงานสัญชาติ ศรีลังกาเพิ่มเติม กระทรวงแรงงานจะเสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พิจารณาให้ความเห็นชอบให้สามารถนำคนต่างด้าวสัญชาติศรีลังกาเข้ามาทำงานเพิ่มเติมได้ทันที และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป และเมื่อการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ได้ข้อยุติให้กระทรวงแรงงาน ดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับประเทศต้นทาง นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลเมียนมาและกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และได้ส่งผลให้เกิดการอพยพหลบหนีภัยจากการสู้รบเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ปัจจุบันพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา มีจำนวนทั้งสิ้น 9 แห่ง อยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน  ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี และมีจำนวนผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 77,718 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ส.ค. 68) และปัจจุบันองค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐได้ปรับลดงบประมาณการให้ความช่วยเหลือ ส่งผลให้ภาระในการดูแลคนต่างด้าวดังกล่าวตกแก่รัฐบาลไทยเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น เพื่อบรรเทาภาระของรัฐและเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงมีความจำเป็นต้องผ่อนผันให้กลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษให้ทำงานเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไปซึ่งกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ตรวจสอบสถานะและจัดทำฐานข้อมูลทางทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ควบคู่ไปกับการสำรวจความต้องการประกอบอาชีพ ที่กระทรวงแรงงานจะส่งเสริมให้สามารถทำงานได้ในเขตพื้นที่และเงื่อนไขที่กำหนด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง