พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา โดยฝ่ายกัมพูชามี พล.อ.เตีย เซยฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นประธานการประชุม ว่าวัตถุประสงค์การประชุมเป็นการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการผลการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission : JBC) ที่ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งข้อตกลงหยุดยิง และแนวทางการดำเนินการต่อไปเพื่อนำสันติภาพและความสงบสุขกลับมาสู่พื้นที่ชายแดนได้อย่างถาวร ซึ่งการหารือครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าหลายด้าน ถือเป็นความสำเร็จในการใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างกันและยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายจะยึดมั่นแนวทางนี้ต่อไป สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน และเป็นพัฒนาการสำคัญจากการประชุมในครั้งนี้ ได้แก่
1. การถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนกลับสู่ที่ตั้งปกติ โดยฝ่ายเลขานุการ GBC และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (Regional Border Committee : RBC) จะหารือกันภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนดำเนินการและเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังตามกรอบเวลาที่กำหนด โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) มาร่วมสังเกตการณ์
2. การเก็บกู้ทุ่นระเบิด จะมีการตั้งคณะประสานงานร่วมประกอบด้วยฝ่ายเลขานุการ GBC และ
ศูนย์ทุ่นระเบิดของฝ่ายไทยและกัมพูชาภายใน 1 สัปดาห์เพื่อจัดทำแผนเก็บกู้ทุ่นระเบิดและแผนนำร่องตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเริ่มดำเนินการทันทีภายใน 1 เดือน
3 การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติของทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งคณะทำงานภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ทั้งนี้ ฝ่ายไทย ได้ส่งมอบข้อมูลพิกัดที่ตั้งศูนย์สแกมเมอร์กว่า 60 แห่งให้กัมพูชาไปดำเนินการปราบปรามขั้นเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะทำงานนี้จะหารือกัน ซึ่งผู้แทนของตำรวจไทยและรองผู้บัญชาการตำรวจกัมพูชาได้หารือกันนอกรอบ เพื่อนัดหมายการประชุมประสานงานตามข้อตกลงนี้เรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 16 กันยายน 2568 ที่จังหวัดสระแก้ว
4. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการ JBC หารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าว และให้คณะกรรมการ RBC หารือแนวทางการบริหารจัดการบนพื้นฐานผลการหารือในกรอบ GBC โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประสานงานกันเพื่อการบริหารจัดการสถานการณ์ ให้เกิดความสงบเรียบร้อย ภายในเดือนกันยายน 2568 ทั้งนี้หากโมเดลนี้ประสบความสำเร็จ จะนำไปใช้บริหารจัดการพื้นที่อื่น ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกันต่อไป
5. หารือการผ่อนปรนจุดผ่านแดนบางประเภท บางจุด และ ระหว่างที่สถานการณ์ไม่เป็นปกติ เพื่อลดผลกระทบภาคธุรกิจ การขนส่งข้ามแดน โดยมอบหมายให้ใช้กลไก RBC หารือความเป็นไปได้ ในการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้า ผ่านจุดผ่านแดนบางจุดที่ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง โดยอาจเริ่มดำเนินการที่จุดผ่านแดนถาวรจันทบุรีและตราดก่อน
สำหรับการผ่อนปรนจุดผ่านแดนจะดูที่ความตึงเครียดและจากผู้ประกอบการ จึงพิจารณาจุดผ่านแดนถาวรจันทบุรีและตราดก่อน และมอบหมายให้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ไปพิจารณาดำเนินการ เพราะเป็นมาตรการทางด้านความมั่นคง โดยให้ประสานงานในพื้นที่กับกรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม สนับสนุนข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางที่นำมาเจรจากัน โดยการผ่อนปรนไม่ได้ผ่อนปรนบุคคลแต่เป็นการผ่อนปรนการขนส่งสินค้าและอาจใช้วิธีการควบคุมด้วยจำนวนเที่ยว และขอชี้แจงว่าต้นเหตุของการเปิดด่านเกิดจากประเทศที่ 3 ไม่ได้เกิดจากประเทศไทยและกัมพูชา เนื่องจากประเทศที่ 3 แจ้งมาว่า ไทย-กัมพูชา มีความขัดแย้งกันแต่ประเทศอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วยแต่ได้รับผลกระทบซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่เรารับฟัง จึงเป็นที่มาของการหาทางออกร่วมกัน
นอกจากทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนแล้ว พัฒนาการความสัมพันธ์จากการประชุม GBC ครั้งนี้ คือทั้ง 2 ฝ่ายกำหนดแนวทางการดำเนินการใน 2 เรื่องที่ไทยให้ความสำคัญ แต่ก่อนหน้านี้ฝ่ายกัมพูชายังไม่เคยตอบรับ ได้แก่ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะติดตามกับฝ่ายกัมพูชาให้ดำเนินการตามที่ตกลงโดยเร็ว สำหรับการประชุม GBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปจะกำหนดขึ้นภายใน 30 วันหลังจากนี้ โดยมีฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพและย้ำว่าไทย-กัมพูชา ไม่อาจย้ายหนีจากกันได้ จึงมีความจำเป็นที่ 2 ประเทศต้องแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยสันติวิธี เพื่อนำสันติภาพไปสู่ชายแดน และประชาชน ทั้งสองประเทศจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติอีกครั้ง
ทั้งนี้ก่อนเดินทางไปประชุม GBC เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ได้รับทราบแนวทางจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ได้เน้นย้ำเรื่องปกป้องอธิปไตยต้องมาเป็นอันดับแรกและให้ความสำคัญกับบทบาทกองทัพ ควบคู่การให้ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย ซึ่งตนเองมีวิธีที่จะบริหารจัดการแบ่งโซนพื้นที่ตามความตึงเครียดของสถานการณ์ตามลำดับ คือ
โซนที่ 1 มีความตึงเครียดสูงคือพื้นที่กองทัพภาค 2 ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
โซนที่ 2 คือ จังหวัดสระแก้ว พื้นที่ความรับผิดชอบของ กองทัพภาคที่ 1
โซนที่ 3 คือ จังหวัดจันทบุรีและตราด มีความตึงเครียดน้อยกว่าจุดอื่น
ส่วนปัญหาเรื่องข่าวปลอมซึ่งมีส่วนทำให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ เริ่มมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกันขอความร่วมมือทั้ง 2 ฝ่ายลดการสร้างความเกลียดชัง ทั้งนี้เรามีคณะกรรมการที่ทางเลขาฯ GBC ดูเรื่องนี้อยู่และต่อไปหากมีข่าวปลอมสำคัญๆ จะแจ้งให้ทางคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT รับทราบ
ทางด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความชื่นชมและสนับสนุนผลการประชุม GBC ครั้งนี้ และเห็นว่าเป็นพัฒนาการที่สำคัญในการใช้กลไกทวิภาคี เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งสันติภาพและความร่วมมือ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนและการพิจารณาผ่อนปรนให้มีการเปิดด่านบางประเภทและบางจุดตามลำดับความตึงเครียดทั้ง 3 โซนนั้น จะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจ การค้าชายแดนและการขนส่งระหว่างประเทศ ทั้งนี้หอการค้าไทยขอขอบคุณ รัฐบาลไทย กระทรวงกลาโหม กองทัพไทย และทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนการเจรจาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อันจะช่วยให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ตลอดจนช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อย สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง