นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน สั่งโครงการชลประทานทั่วประเทศตรวจสอบความพร้อมของอาคาร เครื่องจักร และอุปกรณ์ เพื่อเร่งช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย หลังฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 6–8 กันยายน ทำให้น้ำสะสมในพื้นที่ตอนบนเพิ่มสูง ขณะที่ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ฝนจะตกชุกถึง วันที่ 15 กันยายนนี้ โดยที่จังหวัดสมุทรปราการ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชลหารพิจิตร เร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ระบายน้ำรวมกว่า 20 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน พร้อมกำจัดวัชพืชเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดปัญหาน้ำท่วมและน้ำเน่าเสีย โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำเสี่ยงน้ำทะเลหนุน ขณะเดียวกัน กรมชลประทานควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนพระราม 6 และวางแผนขยายศักยภาพคลอง–เขื่อนทดน้ำป่าสัก รวมถึงติดตั้งศูนย์ติดตามน้ำแบบเรียลไทม์
ด้านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ได้ปรับการระบายน้ำอยู่ที่ 1,900 ลบ.ม.ต่อวินาที และผันน้ำเข้าระบบชลประทานตามศักยภาพคลอง โดยอาจทยอยเพิ่มการระบายน้ำตามความเหมาะสม ส่งผลให้พื้นที่นอก คันกั้นน้ำ เช่น คลองโผงเผง (จ.อ่างทอง) คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด และ ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ (จ.พระนครศรีอยุธยา) มีระดับน้ำเพิ่ม 25–50 ซม. ประชาชนบางพื้นที่ต้องเร่งขนของขึ้นที่สูง
นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประสานกรมชลประทานพิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา หลังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดรายงานว่า น้ำท่วมแล้ว 6 อำเภอ 83 ตำบล 478 หมู่บ้าน รวม 17,223 ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ จังหวัดได้สั่งการให้หน่วยงานทุกระดับเร่งช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียง โดยติด ธงสีขาวหน้าบ้านเป็นสัญลักษณ์ พร้อมจัดทีมแพทย์ลงพื้นที่ ประสานโรงพยาบาล จัดเตรียมยาและเวชภัณฑ์ พร้อมทีมแพทย์เคลื่อนที่ดูแลถึงบ้าน รวมถึงจัดศูนย์พักพิงหากต้องอพยพ นอกจากนี้ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องสื่อสารแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง และให้ช่องทางติดต่อประสานงานได้ทันที
ด้านการป้องกันน้ำท่วม จังหวัดได้ร่วมกับท้องถิ่น หน่วยทหาร และกู้ภัย ช่วยขนย้ายสิ่งของและจัดตั้งศูนย์อพยพ พร้อมติดตามความคืบหน้าแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมชุมชนเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา บริเวณวัดหน้าพระเมรุราชิการามวรวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำสุดของเกาะเมือง โดยติดตั้งเสาเข็มและปูพื้นกากมิกซ์ ระยะทาง 200 เมตร เพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนกว่า 2,500 ครัวเรือน และได้เสริมแนวป้องกันน้ำให้สถานที่สำคัญและวัดริมแม่น้ำ เช่น วัดกษัตราธิราชวรวิหาร ซึ่งได้ยกบังเกอร์ป้องกันน้ำแล้ว โดยยืนยันว่าแม้น้ำยังสูง แต่ถนนทุกสายเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวยังสัญจรได้ตามปกติ
กองบัญชาการกองทัพไทย โดยกรมกิจการพลเรือนทหาร หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา มูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิเพชรเกษม หน่วยราชการท้องถิ่น และผู้นำชุมชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ อ.เสนา และอ.บางบาล โดยส่งมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ประชาชนกว่า 650 ครัวเรือน ประมาณ 2,000 คน แจกจ่ายถุงยังชีพจำนวน 650 ชุด และน้ำดื่มบรรจุขวดตรากองบัญชาการกองทัพไทยกว่า 3,000 ขวด พร้อมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานระดับจังหวัด และท้องถิ่น เพื่อวางแผนการช่วยเหลือในระยะต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงพื้นที่ที่ถูกตัดขาด การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว รวมถึงการดูแลกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง เพื่อสะท้อนถึงพลังแห่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ที่พร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในยามวิกฤตเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และสร้างขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องชาวอยุธยาอย่างทั่วถึง
จังหวัดอ่างทอง นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำใน อ.เมืองอ่างทอง ที่บริเวณประตูระบายน้ำ คลองลำท่าแดง บริเวณสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติฯและวัดสนามชัย รวมถึงจุดติดตั้งเครื่องสูบน้ำ บริเวณโรงพยาบาลอ่างทอง อ.เมืองอ่างทอง โดยมีบ้านเรือนประชาชนใน 3 อำเภอ คือ ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จำนวน 10 ครัวเรือน อ.วิเศษชัยชาญ จำนวน 278 ครัวเรือน อ.ไชโย มีพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ประมาณ 700 ไร่ เบื้องต้นได้นำยาสามัญประจำบ้านและป้องกันโรคน้ำกัดเท้าไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เตรียมความพร้อมเครื่องจักรและกำลังพลเข้าช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุทันที ทั้งนี้ เทศบาลเมืองอ่างทองได้เตรียมโรงสูบน้ำทั้ง 9 แห่ง ให้พร้อมปฏิบัติงาน และทยอยติดตั้งเครื่องสูบน้ำโมบายในพื้นที่ต่าง ๆ แล้วกว่า 10 เครื่อง เช่น บริเวณหน้าเทศบาลเมืองอ่างทอง เครื่องสูบขนาดใหญ่ติดตั้งในจุดเสี่ยง และจัดเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนตรวจสอบจุดที่น้ำอาจรั่วซึม พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
จังหวัดนครสวรรค์ นางสาวชุติพร เสชัง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบยังคงมีฝนตกสะสมอย่างต่อเนื่องประกอบกับมีมวลน้ำจากทางภาคเหนือและการระบายน้ำ จากเขื่อนสิริกิติ์ไหลเข้าพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มส่งผลกระทบในพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.บางพระหลวง อ.เมืองจังหวัดนครสวรรค์ น้ำจากคลองสาขาแม่น้ำยมล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมบ้านเรือน ระดับน้ำสูงเกือบ 1 เมตร ส่งผลให้ประชาชนต้องย้ายขึ้นไปอาศัยบนชั้น 2 ของบ้าน และอพยพออกจากพื้นที่ ซึ่งสั่งการให้ทุกภาคส่วนเตรียมรับมือสถานการณ์อุทกภัย เตรียมกำลังคน เครื่องจักร และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ดูแลความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย รวมถึงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และประชาชนกลุ่มเปราะบาง
จังหวัดเชียงใหม่ นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่สำรวจระบบระบายน้ำ ที่บริเวณ ประตูระบายน้ำชุมชนช่างเคี่ยน และบริเวณสี่แยกถนนช่างเคี่ยน – เจ็ดยอด ถือเป็น 2 จุดสำคัญเพื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่ชุมชน โดยมีคลองชลประทานด้านข้างเป็นพื้นที่สำหรับรองรับ โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้นำเครื่องสูบน้ำมาติดตั้งไว้จำนวน 2 เครื่อง ส่วนเทศบาลตำบลช้างเผือกติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมอีก 1 เครื่อง เสริมกำลังระบบการระบายน้ำ คาดว่าจะพร้อมนำมาติดตั้งภายใน 2 สัปดาห์นี้ และสั่งการให้ทุกภาคส่วนติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุดินและคอนกรีตถนนทรุดตัว ระหว่างเจ้าหน้าที่นำรถแบคโฮซ่อมแซมปรับพื้นที่ถนน บริเวณบ้านศาลา ต.ดอนแก้ว (โครงการห้วยตึงเฒ่า) อ.แม่ริม เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 5/2568 โดยมีผู้แทนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม พร้อมระบุว่า อิทธิพลพายุ “วิภา” “คาจิกิ” และ “หนองฟ้า” ทำให้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ แม้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงไม่สูงมาก แต่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดว่าอีก 2–3 วันข้างหน้าจะยังมีฝนมาก ก่อนจะกลับมาตกเพิ่มช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม จึงจำเป็นต้องเร่งบริหารจัดการน้ำและเตรียมรับมืออุทกภัยร่วมกับจังหวัด
สำหรับแหล่งน้ำสำคัญ หนองหาร จ.สกลนคร เคยมีน้ำเกินความจุ ล่าสุดลดลงเหลือ 98% และยังคงพร่องน้ำ พร้อมกำจัดวัชพืชและติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร มีน้ำ 90% คาดอีก 7 วันจะเพิ่มเป็น 94–97% จึงเร่งพร่องน้ำเต็มศักยภาพ และเตรียมใช้ “ระบบกาลักน้ำ” หากจำเป็น โดยคำนึงถึงผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำ เขื่อนห้วยหลวง จ.อุดรธานี มีน้ำ 97% และมีแนวโน้มล้นภายใน 7 วัน จึงเร่งพร่องน้ำ ผลักดันการระบายผ่านพื้นที่คอคอด ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และเสริมคันกั้นน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ
สทนช. กำชับให้ทุกจังหวัดและหน่วยงานบริหารจัดการน้ำเชื่อมโยงกัน เช่น มวลน้ำจากหนองหารไหลสู่แม่น้ำโขงที่นครพนม และจากเขื่อนห้วยหลวงไหลสู่แม่น้ำโขงที่บึงกาฬ–หนองคาย พร้อมสื่อสารสถานการณ์ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ ช่วงฤดูฝนยังเหลือประมาณ 1 เดือน ปริมาณน้ำที่เก็บไว้จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้งานในฤดูแล้งต่อไป
จังหวัดอำนาจเจริญ รายงานสถานการณ์น้ำ โขง-ชี-มูล พื้นที่อีสานตอนล่าง แม่น้ำชี : ขึ้นธงแดง จ.ร้อยเอ็ด เพิ่ม 11 ซม. ต่ำกว่าตลิ่ง 25 ซม. จ.ยโสธร เพิ่ม 13 ซม. ต่ำกว่าตลิ่ง 7 ซม. แม่น้ำมูล : เฝ้าระวัง
ธงเขียว-เหลือง จ.บุรีรัมย์ เพิ่ม 4 ซม. ต่ำกว่าตลิ่ง 4.52 เมตร จ.สุรินทร์ เพิ่ม 20 ซม. ต่ำกว่าตลิ่ง 4.72 เมตร จ.ศรีสะเกษ เพิ่ม 33 ซม. ต่ำกว่าตลิ่ง 4.60 เมตร และจ.อุบลราชธานี เพิ่ม 15 ซม. ต่ำกว่าตลิ่ง 1.99 เมตรแม่น้ำโขง : ธงเขียว จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี ลดลง 10-32 ซม. ต่ำกว่าตลิ่ง 3.66-7.48 เมตร
นางขนิษฐา แห่งธรรม หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องส่งผลให้ปริมาณน้ำในลำเซบายเพิ่มสูงขึ้นและเอ่อล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 4 ตำบล 21 หมู่บ้าน รวม 608 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วมแล้วกว่า 5,646 ไร่
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 14 จ. ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร ชัยภูมิ นครราชสีมา สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี และระยอง รวม 48 อ. 218 ต. 1,032 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 40,125 ครัวเรือน 147,308 คน
ขณะที่ ศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี เตือนเฝ้าระวังดินถล่ม–น้ำป่าไหลหลากใน 11 จังหวัดเสี่ยง ได้แก่ เชียงใหม่ ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย น่าน กาญจนบุรี จันทบุรี ตราด ระยอง และเลย พร้อมให้อาสาสมัครในพื้นที่ติดตามสถานการณ์และเตรียมช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด