นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ภาคกลาง ครั้งที่ 3/2568 โดยมีผู้แทนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายไพฑูรย์ เปิดเผยว่า ในระยะที่ผ่านมาอิทธิพลจากพายุทำให้ภาคเหนือมีฝนตกหนัก ส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำเพื่อให้มีพื้นที่ว่างของเขื่อนรองรับน้ำหลากในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม และรักษาความปลอดภัยเขื่อน โดยขณะนี้เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำร้อยละ 87 ของความจุเก็บกัก และเขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำร้อยละ 76 ของความจุเก็บกัก แต่ด้วยปัจจุบันสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ได้เพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 2,100 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ประกอบกับมีปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังไหลมาสมทบเพิ่มเติม สทนช. จึงได้ประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมชลประทาน พิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ในช่วงวันที่ 11 – 14 กันยายน 2568 โดยจะปรับลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล จาก 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เหลือ 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และปรับลดการระบายน้ำ เขื่อนสิริกิติ์ จาก 30 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เหลือ 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อชะลอปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาสมทบกับสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขณะนี้ โดยการระบายน้ำในอัตราดังกล่าวจะไม่กระทบต่อพื้นที่ว่างสำหรับรองรับน้ำหลากในช่วงระยะต่อจากนี้
อีกทั้ง ขณะนี้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาได้ยกตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับ 17.1 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 13 – 15 กันยายน 2568 อาจมีฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณท้ายเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งจะทำให้มีมวลน้ำไหลลงมายังเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อลดความเสี่ยงปริมาณน้ำเกินระดับควบคุมซึ่งจะทำให้ต้องเร่งระบายน้ำในคราวเดียวและอาจเกิดผลกระทบในวงกว้างได้ โดยที่ประชุมมีมติให้เริ่มปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจากเดิม 1,900 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 1,950 ลบ.ม. ต่อวินาที ในวันที่ 12 กันยายน 2568 พร้อมทั้งจะระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพิ่มขึ้น โดยผ่านทางแม่น้ำท่าจีนและทุ่งรับน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเฉพาะในส่วนที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ เพื่อช่วยควบคุมอัตราการระบายน้ำของเขื่อนให้ได้มากที่สุด โดยการเพิ่มการระบายน้ำจะส่งผลกระทบในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา และแม่น้ำน้อยบริเวณ ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่ริมน้ำบางแห่งของ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง สทนช. จึงได้ซักซ้อมทำความเข้าใจร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หลังปรับเพิ่มอัตราการระบาย โดยเน้นย้ำให้มีการสร้างความเข้าใจและช่วยเหลือประชาชนทุกครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ จะมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกันในทุกพื้นที่
ขณะที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเกิดจากเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เสนา ผักไห่ บางบาล บางไทร พระนครศรีอยุธยา และ บางปะอิน ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ ทำให้ประชาชนรวม 6 อำเภอ 83 ตำบล 478 หมู่บ้าน 10 ชุมชน ประชาชน 17,223 ครัวเรือน 63,725 คน ได้รับผลกระทบ ปัจจุบันระดับน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้น และวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีอยู่ 20 ล้านบาท ไม่เพียงพอในการช่วยเหลือประชาชน จึงได้ประสานมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้อย่างทั่วถึง
โดยกรมบัญชีกลาง ได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัย ด้านการดำรงชีพ ด้านการเกษตร ด้านบรรเทาสาธารณภัย และด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพิ่มเติม จำนวน 30 ล้านบาท เพื่อให้จังหวัดสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยความรวดเร็ว เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้กำชับไปยังจังหวัดให้ใช้จ่ายงบประมาณโดยยึดระเบียบกระทรวงการคลัง โดยมุ่งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้เพียงพอ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายจังหวัดที่ประสบอุทกภัย ซึ่งต้องเฝ้าระวัง และแจ้งเตือน ดังนี้
จังหวัดอำนาจเจริญ นายกันตสิษฐ์ ธนพนพิพัฒน์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีฝนตกหนักในพื้นที่โดยเฉพาะ อ.เมืองอำนาจเจริญ มีน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยานในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเกิน 100% และล้นสปิลเวย์แล้ว
จึงขอแจ้งเตือนประชาชนบริเวณพื้นที่ริมตลิ่ง พื้นที่ลุ่มต่ำ ตามแนวลำห้วยปลาแดก เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ ทั้งบ้านเรือนประชาชน พื้นที่ทางการเกษตร และเตรียมขนย้ายสิ่งของ สัตว์เลี้ยงขึ้นที่สูงเพื่อความปลอดภัย และสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลลงพื้นที่เฝ้าระวัง หากเกิดสถานการณ์น้ำเอ่อล้นหรือท่วมฉับพลัน จะเข้าช่วยเหลือประชาชนทันที
จังหวัดอุบลราชธานี นายภพ ภูสมปอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยสถานการณ์น้ำโขงอยู่ในระดับเกณฑ์เตือนภัย ในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี อ.เมืองอุบลราชธานี และเขตเทศบาลเมืองวารินชำราบ อ.วารินชำราบ แต่ยังไม่ส่งผลกระทบในพื้นที่ โดยสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และชุมชน เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวัง เตรียมพร้อมรับมือ
จังหวัดร้อยเอ็ด ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 27 โดย กองพันทหารช่างที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 จัดกำลังพลบูรณาการร่วมกับภาคส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่เทศบาลตำบลขวาว อบต.นางาม อบต.นาเลิง ประชาชนจิตอาสา ดำเนินการปิดกั้นทางน้ำไหลพนังกั้นลำน้ำยัง บ้านทรายมูล อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะขาดความยาว 8 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำไหลบ่าท่วมพื้นที่นาของเกษตรกร โดยมี นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และบูรณาการการปฏิบัติในภาพรวม ปัจจุบันน้ำได้ลดระดับลง สามารถตอกเสาไม้ เสาไฟฟ้าเพื่อเสริมความแข็งแรง และอยู่ระหว่างวางบิ๊กแบ็คเพื่อปิดกั้นทางน้ำไม่ให้ไหลเข้าท่วมปฏิบัติงานได้กว่า 60%
จังหวัดพิจิตร นายธนิต ภูมิถาวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ อ.สากเหล็ก 2 จุด บริเวณสะพานข้ามลำคลองเนินทรายชุมชน 5 ม.1 ต.สากเหล็ก ซึ่งลำคลองเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่บ้านเรือนประชาชน เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำน้ำท่วมขังเป็นประจำทุกปี โดยเทศบาลตำบลสากเหล็ก ได้นำกระสอบทรายปิดช่องน้ำเข้าพื้นที่ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในชุมชน และอีกจุด บริเวณประตูระบายน้ำคันเหมือง ลำคลองเนินทรายชุมชน 2 ม.1 ต.สากเหล็ก เป็นจุดระบายสายหลักจากในพื้นที่ ม.1 และ ม.8 (เขตเทศบาล) ต.สากเหล็ก แก้ไขปัญหาการระบายน้ำ โดยขอรับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดพิจิตร จำนวน 2 เครื่อง เข้าช่วย
ด้านนายฉัตรชัย ทองปอนด์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิจิตร สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดสรรน้ำลงพื้นที่เปลี่ยน “ธงแดง” ยกระดับการแจ้งเตือนภัยระดับวิกฤติ และเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำแม่น้ำยม หลังระดับน้ำในแม่น้ำยมถึงขึ้นวิกฤต โดยที่สถานีวัดระดับน้ำ อยู่ที่ 6.21 เมตร อัตราการไหลของน้ำที่ 496.00 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็นการแจ้งเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังสูงสุดและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมเคลื่อนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูง และระวังภัยอันเกิดจากน้ำ โดยให้รายงานระดับน้ำทุกๆ ชั่วโมงเพื่อใช้ในการวางแผนการจัดการน้ำ และเป็นข้อมูลสำหรับการแจ้งเตือนภัยประชาชน
นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังได้แนะนำประชาชนหากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำท่วมต้องเพิ่มความระมัดระวัง ไม่เข้าใกล้เสาไฟฟ้า เสาโคมไฟถนน ป้ายรถเมล์ ราวสะพานลอย รั้วเหล็ก ป้ายไฟหน้าร้าน หรือสิ่งก่อสร้างที่เป็นโลหะ เพราะอาจมีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลและทำให้ถูกไฟดูดเสียชีวิตได้ ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1–2 เมตร และหลีกเลี่ยงการสัมผัสวัสดุที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า
ทั้งนี้ หากสังเกตว่าน้ำมีฟองอากาศผุดคล้ายน้ำโซดา หรือร่างกายมีอาการเหน็บชา กล้ามเนื้อกระตุก ควรหยุดเดินทันทีและรีบออกห่างจากพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงไม่ควรยืนหรือนั่งในน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
หากพบพื้นที่สาธารณะมีไฟฟ้ารั่วให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและตัดกระแสไฟโดยเร็ว
สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ควรยืนบนพื้นแห้ง สวมรองเท้ายาง และใช้วัตถุที่ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น ไม้แห้ง เชือก พลาสติก หรือผ้าแห้ง พันมือหนาๆ ก่อนดึงหรือผลักผู้ประสบเหตุออกจากจุดอันตรายแล้วรีบนำไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นและส่งโรงพยาบาล