พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมลงนามในประกาศกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กําหนดสถานที่ วิธีการ หรือลักษณะต้องห้ามในการขายใบกระท่อม พ.ศ. 2568 ณ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)
ตามที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 ซึ่งมีสาระสำคัญประการหนึ่ง คือ การกำหนดมาตรการกำกับดูแลการขาย การโฆษณา และการบริโภคใบกระท่อม ซึ่งหากบริโภคมากเกินสมควร อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ จึงมีบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองสุขภาพของบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และห้ามขายใบกระท่อมในสถานศึกษา หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก ขายโดยใช้เครื่องขาย หรือขายในสถานที่ โดยวิธีการหรือในลักษณะอื่นใดตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันประกาศกําหนด
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งปรากฏการขายใบกระท่อมและน้ำต้มใบกระท่อมในลักษณะเร่ขาย หรือตั้งแผงลอย ขายในที่สาธารณะและตามท้องถนนสาธารณะ รวมถึงการขายในบริเวณใกล้สถานศึกษา ส่งผลให้เด็กหรือเยาวชน และกลุ่มเปราะบางอื่นสามารถเข้าถึงหรือหาซื้อใบกระท่อมหรือน้ำต้มกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิดได้โดยง่าย ซึ่งรัฐบาลได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากให้เร่งรัดดำเนินการและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วน
ด้วยความตระหนักถึงความเสี่ยงและอันตรายดังกล่าวและเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีแนวโน้ม เพิ่มมากขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมลงนามในประกาศ กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กําหนดสถานที่ วิธีการ หรือลักษณะต้องห้ามในการขายใบกระท่อม พ.ศ. 2568 โดยมีสาระสําคัญ คือ
1. ห้ามผู้ใดขายใบกระท่อมและน้ำต้มใบกระท่อมในสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในระยะห่างไม่เกิน 1,000 เมตร จากแนวรั้วหรือแนวเขตของสถานศึกษา ตามมาตรา 25 (1) ของพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565
2. ห้ามผู้ใดขายใบกระท่อมและน้ำต้มใบกระท่อมโดยวิธีการหรือลักษณะการเร่ขาย หรือการจัดตั้งแผงลอย
โดยประกาศฉบับนี้ จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 50,000 บาท ตามพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565
ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกระทําฝ่าฝืนประกาศดังกล่าว สามารถแจ้งข้อมูลมายังสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ภาคได้ทุกแห่ง รวมถึงสามารถแจ้งมายังสายด่วนยาเสพติด สํานักงาน ป.ป.ส. หมายเลข 1386 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า พืชกระท่อมเป็นพืชที่มีความผูกพันธ์กับวิถีชีวิตคนในหลายพื้นที่ พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 มีเจตนารมณ์เพื่อปลดล็อกจากสถานะยาเสพติด คืนสิทธิให้กับประชาชนใช้ประโยชน์ได้อย่างสร้างสรรค์ ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามรัฐยังคงต้องมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพประชาชนและความสงบเรียบร้อยของสังคม ประกาศร่วมระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการเร่ขายและตั้งแผงลอยใบกระท่อมในที่สาธารณะไม่เกิน 1,000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร จากสถานศึกษาเพื่อคุ้มครองกลุ่มเปราะบางและดูแลความปลอดภัยของสังคมโดยรวม โอกาสนี้ขอบคุณทั้ง 2 กระทรวงที่ร่วมกันผลักดันนโยบายนี้อย่างเข้มแข็งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกัน เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการใช้พืชกระท่อม และการสร้างสังคมปลอดภัยอย่างยั่งยืน
สำหรับรายละเอียดพัฒนาการพืชกระท่อม ยินดีที่ได้ดำเนินการร่วมกันกับกระทรวงยุติธรรม ในการจัดระเบียบเพื่อให้ประชาชนเข้าใจวัตถุประสงค์ของการปลดล็อกพืชกระท่อมตั้งแต่แรกว่าไม่ได้ให้มาใช้ได้ทั่วไป โดยเฉพาะในเด็ก แต่จะทำให้เกิดความเรียบร้อยมีการจัดระเบียบ ส่วนการนำไปใช้เชิงเศรษฐกิจ และสาธารณสุขนั้นพืชกระท่อมมีสารสำคัญที่สามารถนำไปจำหน่ายได้ในราคาสูงและมีการนำไปจำหน่ายได้แล้ว
ทางด้านพันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าหลังจากที่ได้นำพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดตั้งแต่ปี 2564 มีการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมในเชิงเศรษฐกิจสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกเฉลี่ยปีละหลายร้อยล้านบาท ขณะเดียวกันมีการปลูกพืชกระท่อมเพิ่มขึ้น ในปี 2568 มีการปลูกพืชกระท่อมจำนวน 6,700 แปลง รวมพื้นที่ปลูก 16,083 ไร่ สิ่งที่เป็นประโยชน์ถ้าเราไม่สามารถควบคุมอาจเกิดผลกระทบ จะเห็นว่ามีการประมาณการณ์การใช้พืชกระท่อมในลักษณะเคี้ยวใบ และดื่มต้ม โดยผสมวัตถุและสารใดๆ จำนวนเพิ่มขึ้น
โดยมีข้อมูลทางเครือข่ายวิชาการ เปรียบเทียบว่าในปี 2567 กับปี 2562 ที่พืชกระท่อมยังเป็นยาเสพติด พบว่าผู้ใช้พืชกระท่อมจากเดิม 712,004 คน เพิ่มเป็น 3,852,491 คน หรือเพิ่มเป็น 5 เท่า ผู้เสพจาก 470,000 คน เพิ่มเป็น 2,700,000 คน หรือ 7 เท่า ผู้ติดพืชกระท่อมจาก 160,000 คน เพิ่มเป็น 1,300,000 คน หรือ 8 เท่า ที่สำคัญพบว่าจากการบำบัดผู้ติดพืชกระท่อม ร้อยละ 17 มีอาการจิตเวช
ขณะนี้มีการสำรวจจุดขายพืชกระท่อม ในลักษณะหาบเร่แผงลอย หรือลักษณะกระจัดกระจาย 1,113 จุด จึงจำเป็นต้องร่วมกันมีประกาศสถานที่ วิธีการ และลักษณะต้องห้าม ไม่ให้ใช้พืชกระท่อมในทางที่ผิด ทั้งนี้ประกาศดังกล่าวไม่มีโทษจำคุกแต่มีโทษปรับ หากฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อเป็นการส่งสัญญาณในการควบคุม เพราะในทางเศรษฐกิจจะอยู่อย่างเดิมแต่เน้นย้ำไม่ให้มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด มั่นใจว่าจะทำให้การใช้พืชกระท่อมเป็นไปอย่างสมดุลขึ้น ทั้งนี้ได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนในสังคม และจะทำให้ประชากรมีสุขภาพที่ดีขึ้น