ระบายน้ำเพิ่มรับมือมวลน้ำเหนือ–ฝนระลอกใหม่ เฝ้าระวังพื้นที่เหนือและท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เร่งสำรวจและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า ขณะนี้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาได้ยกตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับ 17.1 เมตร จากระดับน้ำทะเล ปานกลาง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. คาดการณ์ในช่วงวันที่ 13-15 กันยายนนี้ อาจมีฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณท้ายเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ จะทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงมายังเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อลดความเสี่ยงปริมาณน้ำเกินระดับควบคุมซึ่งจะทำให้ต้องเร่งระบายน้ำในคราวเดียวและอาจเกิดผลกระทบในวงกว้างได้ โดยให้ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน จากเดิม 1,950 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เพิ่มเป็น 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำทางตอนบนและฝนที่ตกในระยะนี้ พร้อมจะระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพิ่มขึ้น ผ่านทางแม่น้ำท่าจีนและทุ่งรับน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเฉพาะในส่วนที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ เพื่อช่วยควบคุมอัตราการระบายน้ำของเขื่อนให้ได้มากที่สุด

สำหรับการเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จะส่งผลกระทบในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา และแม่น้ำน้อยบริเวณ ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่ริมน้ำบางแห่งของ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง โดย สทนช.จำเป็นต้องซักซ้อมทำความเข้าใจร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หลังปรับเพิ่มอัตราการระบาย เน้นย้ำให้มีการสร้างความเข้าใจและช่วยเหลือประชาชนทุกครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกันในทุกพื้นที่

ด้านนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำจากการเร่งระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยามากถึง 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที อย่างใกล้ชิด เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานมีโบราณสถานสำคัญใดถูกน้ำท่วม พร้อมประสานการทำงานร่วมกับมณฑลทหารบกที่ 18 สระบุรี จ.พระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานท้องถิ่น จัดเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะโบราณสถานเสี่ยงริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณวัดไชยวัฒนาราม ติดตั้งผนังป้องกันน้ำท่วมแบบพับเก็บได้รองรับได้สูงเกือบ
2 เมตร ความยาวกว่า 165 เมตร กรุผ้าใบและเสริมด้วยกระสอบทราย พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่รองรับน้ำเหนือที่กำลังจะหลากลงมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายน เพื่อรับปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว โดยยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมโบราณสถานได้ตามปกติและได้จัดวางแผนป้องกัน เช่น วัดกษัตราธิราชวรวิหาร วัดธรรมาราม วัดพนัญเชิงวรวิหาร รวมถึงโบราณป้อมเพชร

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก โดยกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 จัดกำลังพลจิตอาสา จำนวน 15 นาย ร่วมกับเทศบาลบางเตย และผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ทำกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” บรรจุทรายใส่กระสอบ ทำแนวคันกั้นน้ำและเพื่อเป็นทางสัญจร บริเวณชุมชนตลาดอิงน้ำ หมู่ 9 ต.บางเตย จำนวน 1,000 กระสอบ ด้าน พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพน้อยที่ 1 ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ประสบภัยริมคลองแม่น้ำน้อย และมอบถุงยังชีพประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ณ วัดท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา

จังหวัดอ่างทอง นายไพบูลย์ ศุภบุญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง พร้อมคณะลงพื้นที่ล่องเรือสำรวจชุมชนริมแม่น้ำน้อย อ.วิเศษชัยชาญ หลังได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา โดยได้มอบถุงยังชีพและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน นายอภิชาติ ศรีเหรา นายอำเภอวิเศษชัยชาญ ได้แจ้งเตือนประชาชนให้ติดตามข้อมูลการระบายน้ำอย่างใกล้ชิด หากไม่เกิน 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที ยังสามารถบริหารจัดการช่วยเหลือได้ แต่หากเกินกว่านี้จะกระทบหนักมากขึ้น สำหรับการดูแลผู้ป่วยและกลุ่มเปราะบาง ได้ประสานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ พร้อมจัดเรืออำนวยความสะดวกการสัญจร ขณะเดียวกัน เทศบาลตำบล มอบหมายให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ หากชาวบ้านต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้งได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 กรมชลประทานรายงานสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,067 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา +16.69 เมตร ระดับทะเลปานกลาง (ม.รทก.*) ท้ายเขื่อน +14.37 ม.รทก. โดยระบายผ่านเขื่อน 1,900 ลบ.ม. ต่อวินาที เนื่องจากพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างมีน้ำท่วมขัง จึงต้องชะลอน้ำเหนือเขื่อนชั่วคราว ทำให้ระดับน้ำอาจสูงถึง +17.50 ม.รทก. ส่งผลกระทบพื้นที่ริมน้ำเหนือเขื่อน ได้แก่

*ม.รทก. คือ เมตร ระดับทะเลปานกลาง เป็นการวัดความสูงของพื้นที่หรือวัตถุต่างๆ เทียบกับระดับน้ำทะเลเฉลี่ย ประเทศไทยใช้หมุดที่เกาะหลัก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นค่าอ้างอิงระดับ ม.รทก.

  • จ.อุทัยธานี: บริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต.หาดทนง เกาะเทโพ สะแกกรัง น้ำซึม ท่าซุง อ.เมืองอุทัยธานี
  • จ.ชัยนาท: บริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต.ศิลาดาน ฉนวน วัดโคก คุ้งสำเภา อ.มโนรมย์, ต.วัดสิงห์ มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์, ต.ท่าชัย หาดท่าเสา ธรรมามูล เขาท่าพระ ชัยนาท อ.เมืองชัยนาท
    คลองมะขามเฒ่าบริเวณชุมชนจวนวิไล ชุมชนท่าศาลาและชุมชนมะขามเฒ่า ต.วัดสิงห์ พื้นที่ริมแม่น้ำมะขามเฒ่า ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์

โดยประสานทั้ง 2 จังหวัดเฝ้าระวังพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ และประชาชนให้เตรียมขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง ตรวจสอบคันกั้นน้ำให้แข็งแรง และเตรียมอุปกรณ์สาธารณภัยช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

จังหวัดอุทัยธานี ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ณ สถานีวัดน้ำ C2 เมืองนครสวรรค์ อยู่ที่ 2,101 ลบ.ม. ต่อวินาทีส่งผลให้พื้นที่ริมน้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง จ.อุทัยธานี ระดับน้ำสูงขึ้น ปภ.จังหวัดอุทัยธานี รายงานว่า ประชาชนได้รับผลกระทบ 3 ตำบล 14 หมู่บ้าน 108 ครัวเรือน ได้แก่ ต.ท่าซุง 6 ม. 28 ครัวเรือน ต.เกาะเทโพ 6 ม. 68 ครัวเรือน และ ต.น้ำซึม 2 ม. 12 ครัวเรือน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อำเภอเมือง สาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทับเสลา และโครงการชลประทานอุทัยธานี ดำเนินการมอบถุงยังชีพ จัดอาหารให้ผู้ประสบภัย เคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง 3 ราย แจกจ่ายยาและเวชภัณฑ์ พร้อมนำเครื่องจักรกลกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำในคลองโพธิ์ ขณะที่ อบต.ท่าซุง และ อบต.เกาะเทโพ จัดเรือพายให้ประชาชนใช้งาน ยกสิ่งของขึ้นที่สูง ติดตั้งป้ายเตือน “น้ำท่วมทาง” และสำรวจความเสียหายเพื่อให้ความช่วยเหลือตามระเบียบราชการ

จังหวัดนครสวรรค์ นายเอกฉัตร เอี่ยมตาล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนครสวรรค์ แจ้งเตือนประชาชนเฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่ง หลังมีฝนตกต่อเนื่อง ประกอบกับมวลน้ำจากภาคเหนือและการระบายน้ำ เขื่อนสิริกิติ์ ทำให้ระดับน้ำในลุ่มน้ำยม น่าน และคลองสาขาเพิ่มสูง อาจกระทบกิจกรรมทางน้ำ สำหรับพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ อ.โกรกพระ อ.พยุหะคีรี ซึ่งระดับน้ำเจ้าพระยามีแนวโน้มสูงขึ้นอีก 30–50 เซนติเมตร โดยเฉพาะ ต.ยางตาล ต.บางมะฝ่อ อ.โกรกพระ และ ต.น้ำทรง ต.พยุหะคีรี จึงขอให้เกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต และประชาชนยกของขึ้นที่สูง พร้อมระมัดระวังฝนตกหนักที่อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

จังหวัดอำนาจเจริญ นางปารีณา สอนอาจ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน เกิดฝนตกและมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นทำให้น้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรเป็นวงกว้าง สำรวจเบื้องต้นมีพื้นที่การเกษตร ได้รับผลกระทบ 5 อ. 24 ต. 120 หมู่บ้าน เกษตรกรได้รับความเสียหาย 2,538 ราย พื้นที่เสียหาย จำนวน 23,421 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 21,186 ไร่ มันสำปะหลัง 2,235 ไร่ ทั้งนี้ สำนักงานเกษตรจังหวัดอำนาจเจริญ กรมส่งเสริมการเกษตรจะเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากนาข้าวเสียหายจะได้รับเงินจำนวนไร่ ละ 1,340 บาท มันสำปะหลังไร่ละ 1,980 บาท และยางพาราไร่ละ 4,682 บาท จะได้รับการช่วยเหลือไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่

จังหวัดร้อยเอ็ด ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินจากอุทกภัย ใน 5 อำเภอ ได้แก่ อ.เสลภูมิ 8 ต. ประชาชนเดือดร้อน 550 ครัวเรือน พื้นที่นาข้าวเสียหายกว่า 11,700 ไร่ อ.โพนทอง 7 ต. จำนวน 1,852 ครัวเรือน นาข้าวเสียหายกว่า 8,000 ไร่ อ.เมยวดี 1 ต. จำนวน 152 ครัวเรือน นาข้าวเสียหายกว่า 1,000 ไร่ อ.โพธิ์ชัย 3 ต. จำนวน 980 ครัวเรือน นาข้าวเสียหายกว่า 2,400 ไร่ และ อ.ธวัชบุรี 1 ต.จำนวน 57 ครัวเรือน นาข้าวเสียหายกว่า 600 ไร่ นอกจากนี้ คาดว่ายังมีพื้นที่จะได้รับผลกระทบอีก 6 อำเภอ 20 ตำบล 135 หมู่บ้าน รวมกว่า 3,400 ครัวเรือน โดยนายชัชวาล เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้สั่งการให้อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนติดตามสถานการณ์น้ำชีล้นตลิ่งอย่างใกล้ชิด และหากมีเหตุฉุกเฉินให้เร่งแจ้งเตือนอพยพ รวมทั้งขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงโดยทันที

ขณะที่ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 27 โดยกองพันทหารช่างที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 จัดกำลังพลจิตอาสา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการในพื้นที่และประชาชนจิตอาสา ร่วมแรงร่วมใจกรอกกระสอบทรายบิ๊กแบ็คปิดกั้นทางน้ำในจุดที่พนังกั้นน้ำถูกกระแสน้ำกัดเซาะ บริเวณ บ.ทรายมูล ต.ขวาว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่และป้องกันไม่ให้มวลน้ำไหลบ่าท่วมพื้นที่การเกษตร ในพื้นที่ ต.ขวาว ต.นางาม และ ต.นาเลิง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารทางราชการ ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากได้รับผลกระทบสามารถแจ้งเหตุได้ที่ไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” (Line ID: @1784DDPM) หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง และติดตามประกาศแจ้งเตือนภัยได้ทางแอปฯ THAI DISASTER ALERT

ข่าวที่เกี่ยวข้อง