นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 14/2568 จากการคาดการณ์ปริมาณฝนร่วมกันระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) พบว่า ในช่วงวันที่ 12 – 16 กันยายน 2568 จะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทำให้พื้นที่มีฝนตกหนักบางแห่ง แต่ภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนลดลง จากนั้นในช่วงวันที่ 17 – 21 กันยายน 2568 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม มีแนวโน้มจะมีการก่อตัวของพายุอีก 1-2 ลูก ซึ่งจะทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในประเทศไทย จากสถานการณ์ดังกล่าว ที่ประชุมจึงได้พิจารณาวางแผนบริหารจัดการน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มลุ่มน้ำต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล ซึ่งขณะนี้เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำ 67% ของความจุเก็บกัก ที่ประชุมจึงมีมติให้เพิ่มอัตราการระบายจาก 18 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างของเขื่อน โดยต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำและสอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำท้ายเขื่อนในแต่ละวันด้วย สำหรับกลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าแหล่งน้ำหลายแห่งมีปริมาณน้ำใกล้เต็มความจุเก็บกักแล้ว ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง มีปริมาณน้ำ 100% ของความจุเก็บกัก อ่างเก็บน้ำน้ำอูน มีปริมาณน้ำ 90% ของความจุเก็บกัก และหนองหาร มีปริมาณน้ำ 98% ของความจุเก็บกัก ที่ประชุมจึงมีมติให้เพิ่มการระบายน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนในรอบถัดไป
สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขณะนี้ยังคงมีมวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังไหลลงมาสมทบ ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยมีอัตราน้ำไหลผ่านที่ 2,200 ลบ.ม. ต่อวินาที เพื่อเป็นการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมอย่างสมดุลและส่งผลกระทบต่อประชาชนในทุกพื้นที่น้อยที่สุด ที่ประชุมจึงมีมติให้เขื่อนภูมิพล ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 87% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน คงอัตราการระบายน้ำไว้ก่อนในระยะ 1 สัปดาห์จากนี้ เพื่อชะลอมวลน้ำที่จะไหลลงไปด้านท้ายน้ำ สำหรับเขื่อนเจ้าพระยา ปัจจุบันมีอัตราการระบายที่ 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลให้มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม 138,100 ไร่ ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้กรมชลประทาน เร่งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกให้ได้มากที่สุด เช่น ระบายน้ำไปทางคลองส่งน้ำที่ยังสามารถรองรับได้ รวมถึงกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดลำน้ำเพื่อเร่งการระบาย พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือที่จะช่วยผลักดันน้ำให้เต็มศักยภาพ ในกรณีที่จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาให้สูงกว่า 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที
ที่ประชุมมีมติให้จัดทำหนังสือขออนุญาตต่อประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ล่วงหน้า 3 วัน และให้กรมชลประทานแจ้งเตือนจังหวัดในพื้นที่ท้ายน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้เตรียมรับมือล่วงหน้า เพื่อลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
เนื่องจากสถานการณ์ฝนในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป จะยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่องและตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ สถานภาพอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีแนวโน้มปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณน้ำในลุ่มน้ำปิง ยม และน่านเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่อาจต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำในหลายจังหวัด ที่ประชุมจึงมีมติให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการเสนอคำสั่งแต่งตั้ง “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” เพื่อให้ประธาน กนช. พิจารณาลงนามในคำสั่ง ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การยกระดับสถานการณ์อุทกภัย ระดับที่ 2 ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ กนช. เห็นชอบต่อไป เพื่อให้สามารถบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์อุทกภัย ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทองสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และ ฉะเชิงเทรา 41 อำเภอ 236 ตำบล 1,247 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 43,177 ครัวเรือน 156,640 คน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย (จ.เพชรบูรณ์ พิจิตร) ดังนี้
1. จังหวัดพิษณุโลก แม่น้ำยมน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.วังทอง และ อ.บางระกำ (ลักษณะเป็นพื้นที่รับน้ำ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตร) บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 3,457 ครัวเรือน 12,791 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำยม สถานีวัด Y.16 ต.บางระกำ อ.บางระกำ ระดับตลิ่ง 7.30 ม. ระดับน้ำ 9.74 ม. สูงกว่าตลิ่ง 2.44 ม. แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ แจกจ่ายถุงยังชีพ จำนวน 684 ชุด โดย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ ธกส. ด้านขนย้ายผู้ประสบภัย ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก สนับสนุน รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย 6 คัน เรือท้องแบน จำนวน 6 ลำ ด้านการระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำ 14 นิ้ว จำนวน 10 เครื่อง
2. จังหวัดเพชรบูรณ์ น้ำท่วมขังในพื้นที่ อ.วิเชียรบุรี บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 1,034 ครัวเรือน 3,826 คน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (ชาย อายุ 19 ปี พลัดตกน้ำ ขณะพายเรือข้ามลำน้ำ) ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำป่าสัก แนวโน้มระดับน้ำลดลง หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ โรงครัวพระราชทานประกอบเลี้ยงผู้ประสบภัย 2 คัน โดย ตำรวจตระเวรชายแดน 315 รถผลิตน้ำดื่ม ขนาด 1,000 ลิตร/ชั่วโมง พร้อมขวดน้ำ 10,000 ขวด ด้านขนย้ายผู้ประสบภัย รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยพร้อมอุปกรณ์ 6 คัน เรือท้องแบน 3 ลำ เจ้าหน้าที่ 6 คน โดย ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก
3. จังหวัดพิจิตร แม่น้ำยมและแม่น้ำน่านล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 9 อำเภอ ได้แก่ อ.สามง่าม โพทะเล โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง บางมูลนาก ทับคล้อ เมืองฯ ดงเจริญ และสากเหล็ก (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,528 ครัวเรือน 5,654 คน และพื้นที่การเกษตร 5,075 ไร่ ถนน 3 สาย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำน่าน สถานีวัด N.7A อ.เมืองฯ สูงกว่าตลิ่ง 0.44 ม. แนวโน้มระดับน้ำลดลง หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ มอบถุงยังชีพ 500 ชุด สุขาเคลื่อนที่ 7 หลัง ขนย้ายผู้ประสบภัย ด้วยเรือพาย 20 ลำ เครื่องสูบส่งน้ำ ขนาด 12 นิ้ว 4 เครื่อง โดย ศูนย์ ปภ. เขต 8 กำแพงเพชร
4. จังหวัดนครสวรรค์ แม่น้ำยมและแม่น้ำน่านเอ่อล้นเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.ชุมแสง เมืองฯ และ ตาคลี ประชาชนได้รับผลกระทบ 786 ครัวเรือน 2,097 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต
ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำยม ต่ำกว่าตลิ่ง 0.90 ม. แนวโน้มระดับน้ำลดลง ขนย้ายผู้ประสบภัย ด้วยเรือพาย 142 ลำ เรือท้องแบน 2 ลำ โดย อบต.โคกหม้อ เสริมคันกั้นน้ำชั่วคราว ด้วยกระสอบทราย 13,200 ใบ
โดย อบต.ท่าไม้ อบต.เกยไชย อบต.ฆะมัง อบต.พันลาน
นางสาวชุติพร เสชัง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ แจ้งเตือนภัยประชาชนในพื้นที่ ให้ระวัง สถานการณ์น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมฉับพลัน ในพื้นที่ ต.ยางตาล ต.บางมะฝ่อ อ.โกรกพระ และ ต.น้ำทรง ต.พยุหะ อ.พยุหะคีรี เนื่องจากขณะนี้ยังคงมีฝนตกสะสมในพื้นที่ และมีมวลน้ำจากทางภาคเหนือ การระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้ปริมาณน้ำท่าและน้ำทุ่งเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมีมวลน้ำไหลจาก จ.พิษณุโลกและพิจิตรเข้าสู่ จ.นครสวรรค์ส่งผลให้ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน รวมถึงคลองสาขาต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหาย สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ อ.โกรกพระ และ อ.พยุหะคีรี ขณะนี้บางพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มเอ่อล้น ขอให้เกษตรกรในพื้นที่เพาะปลูกเร่งการดำเนินการเก็บเกี่ยวป้องกันความเสียหาย และยกของขึ้นที่สูง พร้อมเตรียมเครื่องจักรและกำลังคน ให้พร้อมเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที และสั่งการให้จัดตั้งศูนย์อพยพสำหรับดูแลประชาชนที่ประสบอุทกภัย ดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็กเล็ก ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย
5. จังหวัดอุทัยธานี เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ อ.เมืองฯ ประชาชนได้รับผลกระทบ 155 ครัวเรือน 328 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ขนย้ายผู้ประสบภัย เรือพาย ยกของขึ้นที่สูง และจัดทำป้ายเตือน “น้ำท่วมทาง” ในบริเวณที่มีน้ำท่วมถนน เคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง แจกจ่ายยา เวชภัณฑ์ โดย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุทัยธานี และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
6. จังหวัดชัยนาท น้ำเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.สรรพยา มโนรมย์ และวัดสิงห์ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 164 ครัวเรือน 439 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต
7. จังหวัดสิงห์บุรี เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.อินทร์บุรี พรหมบุรี และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 83ครัวเรือน 162 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือในการ ประกอบอาหาร รถผลิตน้ำดื่ม มอบถุงยังชีพ ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่ และขนย้ายผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบาง ไปยังที่ปลอดภัย แจกชุดยาสามัญประจำบ้าน ทำแนวคันเสริมป้องกันน้ำไหลเข้าท่วมในพื้นที่ ต.ชีน้ำร้าย
8. จังหวัดอ่างทอง น้ำเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ป่าโมก ไชโย วิเศษชัยชาญ และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 659 ครัวเรือน 2,438 คน พื้นที่การเกษตร 744 ไร่ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ นำกำลังพลจิตอาสาของหน่วย จำนวน 20 นาย ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในการกรอกกระสอบทราย ณ หมู่ 5 ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จ.อ่างทอง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำเจ้าพระยาซึมใต้เขื่อน
9. จังหวัดสุพรรณบุรี น้ำจากแม่น้ำท่าจีนเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ บางปลาม้า และสองพี่น้อง (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 6,668 ครัวเรือน 23,851 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำท่าจีน สูงกว่าตลิ่ง แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ มอบถุงยังชีพ สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ
กระสอบทราย 42,000 ใบ
10. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อ.เสนา ผักไห่ บางบาล บางไทร พระนครศรีอยุธยา และบางปะอิน (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 24,485 ครัวเรือน 90,595 คน โรงเรียน 10 แห่ง โรงพยาบาล 1 แห่ง สถานที่ราชการ 4 แห่ง วัด 9 แห่ง มัสยิด 1 แห่ง ถนนในหมู่บ้าน 13 สาย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิตปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา สถานีวัด C.67 ต.สะพานหัวเวียง อ.เสนา สูงกว่าตลิ่ง 2.28 ม. แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานในพื้นที่ได้มอบเต็นท์ผู้ประสบภัย จำนวน 130 หลัง เรือท้องแบน พร้อมเครื่องยนต์ 4 ลำ เรือพาย 15 ลำ เครื่องสูบส่งน้ำ 10 เครื่อง และสนับสนุนกระสอบทราย 2,465 ใบ
11. จังหวัดนครปฐม แม่น้ำท่าจีนน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.บางเลน เมืองฯ สามพราน และกำแพงแสน (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,205 ครัวเรือน 3,534 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำท่าจีน สถานีวัด T15 วัดบางไผ่นารส อ.บางเลน สูงกว่าตลิ่ง ศูนย์ ปภ.เขต 1 ปทุมธานี ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ โครงการชลประทานนครปฐม ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ 32 เครื่อง
12. จังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.บางน้ำเปรี้ยว และ อ.เมืองฯ ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,953 ครัวเรือน 10,926 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต
หน่วยงานในพื้นที่ มอบถุงยังชีพ 137 ถุง สนับสนุนเรือพลาสติก 300 ลำ ชุดยาสามัญประจำบ้าน และเครื่องสูบน้ำ
สำหรับการช่วยเหลือของสถาบันการเงิน นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักในขณะนี้ได้ขยาย
วงกว้าง โดยที่ผ่านมายังได้รับอิทธิพลฝนจากพายุคาจิกิและพายุหนองฟ้า ทำให้หลายพื้นที่ประสบอุทกภัย ส่งผลกระทบต่อประชาชน และผู้ประกอบการ SMEs เป็นจำนวนมาก โดย บสย. ได้เร่งเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการ ทั้งลูกค้าและลูกหนี้ให้สามารถไปต่อได้ โดยออกมาตรการเร่งด่วนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประสบอุทกภัย และมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศ ดังนี้
1. มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ และค่าจัดการค้ำประกัน นาน 6 เดือน สำหรับลูกค้า บสย. ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ครอบคลุม 23 จังหวัด ตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศ ณ วันที่ 4 กันยายน 2568 โดยถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อและค่าจัดการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568
2. มาตรการพักชำระค่างวด นาน 3 เดือน สำหรับลูกหนี้ บสย. ที่ยังอยู่ระหว่างผ่อนชำระตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ โดยได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ครอบคลุม 23 จังหวัด ตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศ ณ วันที่ 4 กันยายน 2568 โดยระยะเวลารับคำขอพักชำระ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2568 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2568 พักชำระค่างวดที่ถึงกำหนดชำระเป็นระยะเวลาสูงสุด 3 เดือน (หลังครบระยะเวลาพักชำระ 3 เดือน ให้ผ่อนชำระตามเงื่อนไขเดิม)
สำหรับสถานประกอบการที่เป็นลูกค้า บสย. ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 23 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศ ณ วันที่ 4 กันยายน 2568 ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เลย นครพนม กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ภูเก็ต ระนอง ชุมพร และพระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่ ปภ. มีการประกาศเพิ่มเติมด้วย
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการได้ที่ สำนักงานเขตในพื้นที่ หรือ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999 หรือช่องทาง LINE OA : @tcgfirst บริการตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษาทางการเงิน ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย