นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมบริหารจัดการสถานการณ์ให้มีความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนกับฝ่ายกัมพูชา โดยมี นายอุม เรียไตร ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย พร้อมคณะ ณ ห้องประชุมด่านตรวจคนเข้าเมืองจุดผ่านแดนถาวรปอยเปต อ.โอวโจว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยการประชุมดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee – GBC) สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1/68 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ระหว่าง ไทย-กัมพูชา ที่ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา ประสานงานกันเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ให้มีความสงบเรียบร้อย ซึ่งการประชุมดังกล่าว ฝ่ายไทยได้ยื่นข้อเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกันที่จะบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยโดยกำหนดให้มวลชนของทั้ง 2 ประเทศ ถอยห่างออกจากพื้นที่อ้างสิทธิ์ของประเทศตรงข้ามไม่น้อยกว่า 500 เมตร
2. ทั้ง 2 ฝ่าย จะไม่มีการปลุกระดมมวลชน พร้อมทั้งควบคุมมวลชนของประเทศตนเองให้อยู่ห่างจากพื้นที่อ้างสิทธิ์ของประเทศตรงข้าม ไม่น้อยกว่า 500 เมตร
3. ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกัน ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิประเทศในพื้นที่อ้างสิทธิ์ของทั้งสองประเทศในทุกกรณี ในกรณีที่มีการดำเนินการไปแล้ว ให้ปรับคืนสู่สภาพเดิมภายใน 1 วันหลังการประชุม
4. ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกัน ที่จะไม่มีการเพิ่มกำลังทหารและอาวุธหนักในพื้นที่ชายแดนทั้งสองจังหวัด
5. จังหวัดสระแก้ว ขอสงวนสิทธิ์ในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของคนไทย ในเขตอธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่อ้างสิทธิ์ของทั้งสองประเทศ
6. ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตอธิปไตยของตนเองนอกพื้นที่อ้างสิทธิ์ได้ โดยห้ามประชาชน ทหาร หรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้าขัดขวางการทำประโยชน์ดังกล่าว ทั้งนี้ หากเกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ของประเทศใด ให้เป็นหน้าที่ของประเทศนั้นต้องดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยโดยเร็ว
7. หากไทยและกัมพูชาไม่สามารถหาข้อตกลงได้ภายใต้กลไกการหารือของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(General Border Committee : GBC) สมัยพิเศษ ครั้งต่อไป จังหวัดสระแก้วจะมีหนังสือแจ้งจังหวัดบันเตียเมียนเจยให้ราษฎรที่อยู่นอกเส้นอ้างสิทธิที่รุกล้ำเข้ามาในอธิปไตยไทยให้ย้ายออกจากพื้นที่พร้อมทรัพย์สินและสังหาริมทรัพย์บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่จังหวัดสระแก้วมีหนังสือแจ้ง หากไม่ออกจากพื้นที่ดังกล่าว จังหวัดสระแก้วจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายของราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่ได้แจ้งให้ทราบแล้ว
8. ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกันที่จะจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ร่วมกันระหว่างสองประเทศ เพื่อมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาทุกประเด็นด้วยสันติวิธี และหลีกเลี่ยงการปะทะ
ฝ่ายกัมพูชา ได้ยื่นข้อเสนอฝ่ายไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามผลการประชุม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (Regional Border Committee : RBC) และผลการประชุม GBC
2. ทั้ง 2 ฝ่าย ปฏิบัติตามข้อตกลง MOU2543 และ TOR 2003
3. หลีกเลี่ยงการปฏิบัติที่มีผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยทั้ง 2 ฝ่ายรอปฏิบัติตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission : JBC)
4. ทั้ง 2 จังหวัดดำเนินการตามผลการประชุม GBC
ข้อเสนอของฝ่ายไทยทั้ง 8 ข้อ นั้น ฝ่ายกัมพูชายังไม่สามารถให้ความเห็นชอบได้ในขณะนี้ โดย ฝ่ายกัมพูชาจะนำข้อเสนอของฝ่ายไทยรายงานให้หน่วยเหนือของตนเองพิจารณา และจะแจ้งให้จังหวัดสระแก้วรับทราบต่อไป ทั้งนี้หากทางจังหวัดบันเตียเมียนเจยไม่รับข้อเสนอข้อใดข้อหนึ่ง จังหวัดสระแก้วยังคงสงวนและจะดำเนินการต่อไปในเขตอธิปไตยและราชอาณาจักรไทย
หลังจากการหารือของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา จบลง ได้เกิดเหตุการณ์มวลชนกัมพูชาชุมนุมประท้วง บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยเมื่อ เวลา 15.40 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพา ว่า ฝ่ายกัมพูชาได้นำประชาชนและมวลชนประมาณ 200 คน มาชุมนุมประท้วงการปฏิบัติของฝ่ายไทย ระหว่างการวางเครื่องกีดขวางและลวดหีบเพลงเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
ฝ่ายไทยได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุมและดำเนินการวางลวดหีบเพลงตามแผนการปฏิบัติ แต่กลุ่มมวลชนกัมพูชายังคงประท้วงอย่างต่อเนื่อง ต่อมา เวลา 16.20 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางควบคุมสถานการณ์ ส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนถอยห่างออกจากแนวปะทะ เนื่องจากผลของแก๊สน้ำตา
จนถึงเวลาประมาณ 17.00 น. ฝ่ายไทยยังคงดำเนินการเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยการวางแนวลวดหนามเพิ่มเติมและใช้ยางรถยนต์ประกอบ รวมถึงควบคุมการประท้วงโดยใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และเครื่อง LRAD หรือเครื่องขยายเสียงทางยุทธวิธี ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเริ่มถอยออกจากพื้นที่ และมีการตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่ไทยเป็นระยะ รวมทั้งมีการใช้ความรุนแรงโดยการขว้างปาท่อนไม้ ก้อนหิน และยิงหนังสติ๊กมายังเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย จนมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
จากเหตุดังกล่าว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา มวลชนกัมพูชาเข้ารื้อถอนสิ่งกีดขวางป้องกันตนเองของฝ่ายไทย ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งอยู่ในเขตอธิปไตยไทยอย่างชัดเจน ต่อมาวันที่ 17 กันยายน 2568 หลังจากที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยพยายามเข้าวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคงในบริเวณดังกล่าว กลับพบการเข้าขัดขวางของมวลชนกัมพูชาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มีอาวุธเป็นท่อนไม้และหนังสติ๊ก จนสุดท้ายจำเป็นต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเข้าระงับเหตุตามหลักสากล ด้วยการใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามเป็นการจลาจล
ทั้งนี้ ได้รับรายงานว่าเจ้าหน้าที่บางส่วนได้รับบาดเจ็บจากการถูกขว้างปาด้วยท่อนไม้ ก้อนหิน รวมถึงถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก และขอย้ำว่า สถานการณ์ดังกล่าวถือว่ามวลชนกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ขัดขวางการปฏิบัติงานและทำลายสิ่งของของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ชัดเจนว่าผิดต่อกฎหมายของประเทศไทยในหลายมาตรา โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉยและไม่ได้ดำเนินการ ห้ามปรามแต่อย่างใด ซึ่งมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการยั่วยุ เป็นความตั้งใจที่จะละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยให้ประชาชนเป็นผู้ออกหน้า ดังนั้น การเข้าดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการระงับเหตุ และใช้เครื่องมือที่เน้นการผลักดันเพื่อระงับเหตุจลาจล จึงถือว่าเป็นไปตามหลักสากล และเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ยืนยันว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่อธิปไตยไทยอย่างชัดเจน อีกทั้งไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ หรืออยู่ในเขตพื้นที่ของกัมพูชา อย่างที่ทางฝ่ายกัมพูชาพยายามให้ข้อมูลบิดเบือน เชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายของประเทศไทยอย่างชัดเจน
ขณะที่ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่ปรากฏรายงานข่าวเหตุการณ์การประท้วงของประชาชนกัมพูชาเพื่อขัดขวางการวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. การดำเนินมาตรการดังกล่าวของฝ่ายไทยอยู่ในพื้นที่อธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน การเข้ามาเพื่อพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจนทำให้เจ้าหน้าที่ไทยจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งการรื้อถอนสิ่งกีดขวางของฝ่ายไทย เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไทยในหลายมาตรา
2. เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้แสดงความอดกลั้นอย่างสูงสุดมาโดยตลอด และได้ใช้เวลาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนกัมพูชา อย่างไรก็ดี ยังคงมีการยั่วยุและดำเนินการรุกล้ำอย่างต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล โดยใช้มาตรการที่ได้สัดส่วนและมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ และเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
3. การปลุกระดม ยั่วยุ ให้ประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงและก่อความไม่สงบของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และเป็นสิ่งที่ขาดความรับผิดชอบ ไม่สร้างสรรค์ อีกทั้งไม่ยึดถือผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง
4. ฝ่ายไทยจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการปลุกระดมและยั่วยุให้ประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงและก่อความไม่สงบในพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงละเว้นการกระทำใดๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการลดความตึงเครียดและ
การหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ
พลจัตวา ซัมซุล ริซัล บินมูซา ฑูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ประธานคณะ IOT ได้ลงพื้นที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
ในวันที่ 17 กันยายน 2568 พร้อมระบุว่า ไม่ได้มาตัดสินว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ของใคร ขอให้ประเทศไทยอดทนจนกว่าจะมีการประชุม JBC ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาจะมีการหารือในที่ประชุม JBC เชื่อว่า พื้นที่ข้อพิพาทดังกล่าวจะกลับมาสงบในเร็ววัน ส่วนกรณีกัมพูชาดำเนินการในลักษณะนำประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ส่งผลให้ประชาชนไทยเริ่มจะทนไม่ได้ และมีความกังวลว่าอาจเกิดการเผชิญหน้าของประชาชนนั้น ขอให้คนไทยอดทน และตนเองชื่นชมในการที่กองทัพไทย ทำหน้าที่บนความอดทน และดำรงมาตรฐานตามหลักสากล มั่นใจว่า หลังจากนี้จะเกิดสันติภาพ
นอกจากนี้ เพจทีมโฆษกกองทัพบก ยังได้โพสต์ว่า พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (Thailand Mines Action Center หรือ TMAC ) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้เก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
หลังจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่าง ๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา ร่วมรับผิดชอบและแสดงออกอย่างจริงใจในการแก้ไขปัญหาเรื่องทุ่นระเบิดที่ทหารกัมพูชาได้ลักลอบเข้ามาวางในประเทศไทย เพื่อหวังทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย ซึ่งเป็นเรื่องด่วนที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะที่ผ่านมาฝ่ายไทยเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อคืนพื้นที่ชายแดนให้มีความปลอดภัยต่อประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ