นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ร่วมประชุมหารือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ กับ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
นายอนุทิน กล่าวว่า ตั้งใจมารับฟังข้อเสนอแนะจากสภาหอการค้าฯ เพื่อเร่งจัดทำการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเดินหน้าบริหารประเทศ โดยรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะเน้นเรื่องการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ต้องกระชับและเข้มแข็งภายในระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยความรวดเร็ว คล่องตัว แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการพยายามที่จะทลายข้อจำกัดที่มีอยู่ ไม่ปิดกั้นโอกาส รวมถึงเร่งแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอยู่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน
สำหรับการค้าระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทำทุกอย่างให้การค้าคล่องตัวราบรื่น ไม่เสียเปรียบคู่ค้า และเจรจาสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตร ลดความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปทั้งด้านพาณิชย์และการคลัง การจัดหาแหล่งเงินทุนเข้ามาอัดฉีดเพื่อให้เกิดสภาพคล่องกับผู้ประกอบการ SMEs หาเงินทุนมาต่อยอดเพื่อให้ไปต่อได้
นายอนุทิน ระบุว่า นโยบายที่รัฐบาลจะดำเนินการ เป็นนโยบายที่ทำได้จริง ทำได้เลย โดยไม่สนใจว่าเป็นนโยบายของใครมาก่อน ขอเพียงให้ประชาชนได้ประโยชน์ ทุกฝ่ายต้องวินๆ ไปด้วยกัน ประเทศไทยก็จะเดินหน้าพร้อมกัน คนคิดนโยบายก็ได้ คนทำนโยบายก็ได้ ทุกคนก็วินๆ กันหมด แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนชนะ ไม่จำเป็นต้องมีคนแพ้ เพราะสุดท้ายเรื่องนี้ประเทศไทยต้องเป็นฝ่ายชนะก็พอ
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ส่งผลกระทบในด้านการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งได้ระดมข้อคิดเห็นจากเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ ทั้งหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า หอการค้าต่างประเทศ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ จัดทำเป็นข้อเสนอ “7 เสาหลักฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย” เพื่อให้รัฐบาลนำไปพิจารณาใช้เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่
1. Rebuild Confidence Plan เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศและนักลงทุน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัย
2. Liquidity for SMEs & Households เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการและครัวเรือนเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวก
3. Ease Cost of Living ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนของประชาชน
4. Seamless Trade ค้าขายคล่อง ส่งเสริมการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม (Fair Trade) สร้างความสามารถแข่งขันให้ SMEs
5. Safety & Security of Thailand ยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งอาชญากรรม ยาเสพติด และสังคมออนไลน์
6. Trade War Response เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและความผันผวนค่าเงิน
7. Boost Demand & Tourism กระตุ้นกำลังซื้อและส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ
สำหรับข้อเสนอในระยะเร่งด่วน 4 เดือน หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินมาตรการสำคัญหลายด้านอย่างทันที เริ่มจากการค้าระหว่างประเทศที่ควรเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ภายใต้กรอบ Reciprocal Tariff (RT) ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ราว 34–35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออกในมิติของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น “คนละครึ่ง” และ “Easy E-Receipt” รวมถึงรณรงค์ “ใช้ของไทย ฟื้น SME” พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน ส่วนภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการ ลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่
ด้านมาตรการสำหรับภาคธุรกิจ SMEs ขอให้มีการจัดสรรงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย (NPL) และเร่งผลักดันโครงการ THAI SME-GP ด้านแรงงาน รัฐบาลควรกำหนดการปรับค่าจ้างตามมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน โดยใช้กลไกไตรภาคี รวมถึงหาทางออกต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ขณะเดียวกัน ประชาชนควรได้รับการบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงร้อยละ 50 เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังควรเดินหน้านโยบาย Zero Corruption และบูรณาการการปราบปรามปัญหาสังคม ทั้งยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลโกงออนไลน์ และการพนันอย่างจริงจัง
ส่วนมาตรการในระยะกลาง 8 เดือน หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรขาออกภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก พร้อมกันนี้ ภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา จัดตั้งกลไกการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเน้นสาขาที่มีศักยภาพสูง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์สมัยใหม่ และเกษตร–อาหารสมัยใหม่ อีกทั้งยังควรมีมาตรการสนับสนุนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและคูปองฝึกอบรม ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยใช้แนวทางปรับโครงสร้างหนี้และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ถูกกฎหมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบควรถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ด้วยการใช้มาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดภาระที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ภาคธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดร.พจน์ ย้ำว่า ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า แต่คือแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะสร้างความหวังและความเชื่อมั่น หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง หอการค้าฯ เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาแข็งแรง และพร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและสังคมไทย