นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กรณีการประท้วงของประชาชนกัมพูชาบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และมีการส่งหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ผู้นำต่างๆ รวมถึงนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน โดยย้ำท่าทีเพิ่มเติมของฝ่ายไทยใน 3 ประเด็น ได้แก่
1. นับตั้งแต่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่มาเลเซีย ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นหมุดหมายสำคัญที่ปูทางไปสู่สันติภาพ แต่น่าเสียดายที่ฝ่ายกัมพูชายังคงยั่วยุในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งขัดต่อเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ความวุ่นวายที่บ้านหนองหญ้าแก้ว เป็นผลจากการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา ขอย้ำว่าการวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคง เป็นการดำเนินการในพื้นที่อธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้แสดงความอดทนอดกลั้นอย่างสูงสุดเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนกัมพูชาแต่ไม่เป็นผล จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนของไทยจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล
2. ไทยและกัมพูชาได้ให้คำมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิง ซึ่ง 2 ประเทศได้เลือกเส้นทางที่จะเดินหน้าตามข้อตกลงเป็น 2 เส้นทางที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยไทยเลือกเส้นทางความร่วมมือที่จะนำไปสู่สันติภาพ แต่ต้องผิดหวังที่กัมพูชาเลือกเส้นทางความขัดแย้ง ไม่ต้องการสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งการปลุกระดมประชาชนให้กระทำต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย การแถลงข่าวบิดเบือนความจริง หรือการที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้นำประเทศและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ สะท้อนการเตรียมการจัดฉากล่วงหน้า สร้างสถานการณ์เพื่อนำไปฟ้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ เป็นการดำเนินการที่ไม่สร้างสรรค์ ขาดความสุจริตใจของฝ่ายกัมพูชา ขัดต่อข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตามฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วในทุกระดับและทุกเมื่อ โดยยึดหลักฐานเชิงประจักษ์และหลักสากลย้ำว่า ไทยจะไม่ยอมถูกกลั่นแกล้งอย่างเด็ดขาด
3. ไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี บนพื้นฐานกฎหมายไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และหลักสากล โดยใช้ช่องทางและกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ รวมถึงกลไกที่จัดตั้งหรือกำลังจะจัดตั้งขึ้นตามมติที่ประชุม อาทิ การสื่อสารระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน และศูนย์ทุ่นระเบิดของทั้งสองประเทศ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมตามกลไกทวิภาคีที่กำลังดำเนินการอยู่ และเวทีการประชุมระหว่างประเทศหลากหลายเวทีที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทั้งการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่ 80 ณ นครนิวยอร์ก การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค จะเป็นโอกาสพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการแก้ไขปัญหา
ฝ่ายไทยจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติพฤติกรรมตามเส้นทางของความขัดแย้ง รวมทั้งการกระทำที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการลดความตึงเครียด และการหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ
ขณะที่จังหวัดสระแก้ว ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ประชาชนกัมพูชารื้อรั้วลวดหนามที่ฝ่ายไทยวางเป็นแนวป้องกันตนเอง บริเวณพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันอังคารที่ 16 และวันพุธที่ 17 กันยายน 2568 จังหวัดสระแก้วขอประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายและไม่เป็นมิตรของพลเรือนกัมพูชาและการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาละเลยไม่ห้ามปรามการกระทำดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการ ดังนี้
1. ยุติการกระทำที่ผิดกฎหมายของพลเรือนกัมพูชาในดินแดนไทยทันที
2. ให้ทหารกัมพูชา (ภูมิภาคทหารที่ 5) ควบคุมและห้ามปรามพลเมืองของตนเองมิให้ละเมิดกฎหมายไทยอีก
3. งดเว้นการส่งเจ้าหน้าที่หรือคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) เข้ามาในดินแดนไทยโดยพลการ
4. เคารพกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) และการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) ในการแก้ไขปัญหาชายแดนตามที่ได้ตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ จังหวัดสระแก้วขอสงวนสิทธิ์ในการป้องกันอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยยังคงยืนยันเจตนารมณ์ที่จะธำรงรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความเป็นเอกภาพของอาเซียน
พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยมีผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย โดยก่อนการประชุม
ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้มีการประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหาร (คบท.) โดยมีประเด็นที่สำคัญ 3 ประเด็น ได้แก่
1. การปิดจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดย ที่ประชุม คบท. เห็นชอบให้คงสภาพปัจจุบันในการปิดด่าน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือกัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทยอีกต่อไป
2. จัดทำรั้วชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีข้อสรุปสำหรับการสร้างรั้วชายแดน เห็นควรสร้างในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว สำหรับในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จะใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่องรวมทั้งให้มีการสร้างเส้นทางยุทธวิธีตลอดแนว
3. แนวทางดำเนินการต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย โดยมีข้อสรุปดังนี้ คือ การดำเนินการตามกฎการใช้กำลังสากล (ROE — Rules of Engagement) เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Act) หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Intent) โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี สามารถใช้เป็นเหตุเริ่มการป้องกันตนเองได้ ทั้งนี้ ได้นำเสนอแนวทางการปฏิบัติไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว
ทางด้าน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงถึงเหตุประชาชนชาวกัมพูชาออกมาชุมนุมประท้วงขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายไทย ว่า ทางการไทยจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการควบคุมการจลาจล โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายปกครองดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อรักษาความสงบในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่มีทีท่า และความจริงใจต่อการดำเนินการกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าฝั่งกัมพูชานั้นละเมิดข้อตกลงหยุดยิงมาโดยตลอด และไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังสร้างปัญหาเพิ่มเติมผ่านการนำมวลชน และองค์กรต่าง ๆ มาใช้ในการแสดงออก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือภาพลักษณ์ให้เป็นผู้แสวงหาสันติภาพหรือเหมือนกับว่าฝ่ายกัมพูชานั้นเป็นผู้ถูกกระทำ ยืนยันว่าไม่ได้มีการเตรียมมาตรการที่รุนแรง แต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ แต่ต้องสื่อสารทำความเข้าใจเรื่องความชอบธรรมในการดำเนินการให้ชัดเจน
ส่วนกรณีที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาส่งหนังสือไปยัง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และบรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ ที่อ้างว่าทางการทหารไทยได้มีการใช้กระสุนยาง ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และกล่าวหาไทยบังคับใช้กฎหมายเหนือดินแดนกัมพูชา โดยยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อธิปไตยไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง และกองทัพบกจะประสานกับกองทัพไทยและกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องสู่นานาประเทศต่อไป
กองกำลังบูรพา แถลงการณ์ 2 ภาษา ชี้แจงสถานการณ์ความไม่สงบ บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว ย้ำว่า มาตรการที่ได้ดำเนินการ รวมถึงการติดตั้งแนวป้องกัน เพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติและคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ไม่มีเจตนาเปลี่ยนแปลงแนวเขตแดนหรือยกระดับความตึงเครียดให้รุนแรง กองกำลังบูรพายังคงประสานงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้ งดเว้นการกระทำที่ยั่วยุ และเปิดโอกาสให้กลไกที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนที่ยังคงค้างคา และขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย ธำรงรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนไทยและกัมพูชา
นอกจากนี้ยังมี กรณีพื้นที่พิพาทพื้นที่ชายแดนจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ โดยเฉพาะการสร้างกาสิโนของกัมพูชาที่รุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิ์ของไทย โดย พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า อยากให้สื่อมวลชนได้ลงไปดูพื้นที่จริงที่จังหวัดตราด ซึ่งมีหลายจุดที่มีการทับซ้อนกันอยู่ และผู้ที่รับผิดชอบได้ทำหนังสือประท้วง แต่ไม่เกิดผล พร้อมยอมรับว่ามีอยู่หลายพื้นที่ ต้องไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต่อไปว่าจะจัดการกับพื้นที่ดังกล่าวอย่างไร เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น ส่วนการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ทหารกัมพูชาทิ้งไว้ในช่วงการปะทะนั้น ยอมรับว่าการเข้าไปในพื้นที่ค่อนข้างยากลำบาก และมีสนามทุ่นระเบิดจำนวนมาก ซึ่งต้องค่อยๆ เคลียร์พื้นที่ แต่ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ดำเนินการกับพื้นที่ดังกล่าวอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ไม่มีกำลังทหารของกัมพูชาอยู่ในพื้นที่