นายกฯ ลงพื้นที่อ่างทอง เร่งรัดช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดอ่างทอง ณ ศูนย์สภากาชาดไทยเวชพาหน์เฉลิมพระเกียรติ หมู่ 9 ตำบลบางจัก อำเภอวิเศษชัยชาญ โดยมีนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง บรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรีและคณะได้มอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ต.บางจัก อ.วิเศษชัยชาญ จำนวน 145 ชุด ก่อนลงเรือเพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนที่บ้านเรือนอาศัยอยู่ริมแม่น้ำน้อย และได้รับผลกระทบจากน้ำที่เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ จำนวน 5 หลังคาเรือน

นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ วันนี้ปริมาณน้ำน้อยลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ยังคงไม่ประมาทยังคงเตรียมดูแลประชาชนและบริหารจัดการน้ำ ซึ่งผ่านมาได้ดำเนินการเรื่องการป้องกันและบริหารจัดการน้ำท่วมแบบครบวงจรเอาไว้แล้ว เมื่อมีโอกาสกลับมาปฏิบัติงานในครั้งนี้ก็จะเร่งรัด และนำสิ่งที่เคยได้เตรียมไว้มาปฏิบัติ ทั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร รวมทั้งการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบและการเยียวยาประชาชนที่ยอมให้ใช้ที่ดินเป็นที่รับน้ำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทันที

สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบแล้ว 4 อำเภอ คือ อ.ไชโย อ.เมืองอ่างทอง อ.ป่าโมก และ อ.วิเศษชัยชาญ จังหวัดได้เตรียมความพร้อม ทั้งการสำรวจตรวจสอบเขื่อน คันกั้นน้ำ และซ่อมแซมจุดที่ชำรุด จัดทำแนวคันดินและกำจัดสิ่งกีดขวางทำน้ำบริเวณประตูระบายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ โดยศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 2 สุพรรณบุรี ได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ 2 เครื่อง ติดตั้งที่บริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ศาลากลางจังหวัดอ่างทอง และจุดชุมชนทรัพย์สินตลาดเทศบาลเมืองอ่างทอง เพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในเขตเศรษฐกิจ และพื้นที่สำคัญจังหวัดอ่างทอง

ด้านนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ได้ประเมินสถานการณ์ฝนพบพายุโซนร้อน “มิแทก” (Mitag) กำลังเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนตอนใต้ โดยพายุนี้ ไม่เคลื่อนเข้าประเทศไทย แต่จากอิทธิพลของพายุส่งผลให้ร่องมรสุมเลื่อนขึ้นมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จนถึงวันที่ 22 ก.ย. จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง จึงจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ และพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ยังคงการระบายน้ำอยู่ที่ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) ขณะที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ที่ 2,171 ลบ.ม./วินาที และมีปริมาณน้ำที่มาจากแม่น้ำสะแกกรัง มาสมทบที่อัตรา 293 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รวมทั้ง แบ่งการระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มศักยภาพ โดยจะต้องติดตามสถานการณ์น้ำและปริมาณฝนเป็นรายวันเพื่อเตรียมพร้อมปรับแผนการระบายให้สอดรับกัน พร้อมวางแผนรับมือปริมาณฝนและพายุจรที่คาดการณ์จะเกิดอีกครั้งช่วงวันที่ 25 – 28 ก.ย.

ด้านเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีน้ำไหลลงอ่างฯ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดมีปริมาณน้ำในอ่างฯ 709 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 74% ของความจุอ่างฯ จากการติดตามและคาดการณ์ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อน พบว่าบริเวณด้านเหนือเขื่อนยังคงมีน้ำไหลเข้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่อควบคุมปริมาณน้ำในเขื่อนให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งจะทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. จะเพิ่มการระบายน้ำเป็น 450 ลบ.ม./วินาที วันที่ 21 ก.ย. จะปรับเป็น 500 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม ประมาณ 1.30 – 1.50 เมตร อาจส่งผลกระทบให้เกิดน้ำล้นตลิ่งในบริเวณที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ได้แก่ ตลาดน้ำต้นตาล ต.ต้นตาล อ.เสาไห้ จ.สระบุรี เป็นต้น

สำหรับการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 6/2568 หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้คาดการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 22 – 30 ก.ย. จะมีฝนเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “มิแทก” และ“รากาซา” (Ragasa) ศูนย์กลางยังอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น ก่อนจะเคลื่อนตัวทางตะวันตกลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนในช่วงวันที่ 25 ก.ย. แม้ไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่จะทำให้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ อีสานตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก ส่งผลให้มีฝนตกหนักหลายพื้นที่

ที่ประชุมได้หารือแนวทางบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ โดยลุ่มน้ำชี อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีน้ำสูง เช่น อ่างฯ อุบลรัตน์ 78% อ่างฯ จุฬาภรณ์ 76% และอ่างฯ ลำปาว 76% จึงมีมติปรับแผนการระบายน้ำ อ่างฯ อุบลรัตน์จาก 25 ล้าน ลบ.ม./วัน เป็นไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม./วัน แบบขั้นบันได โดยติดตามผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำอย่างใกล้ชิด ส่วนอ่างฯ ลำปาว ปรับลดการระบายช่วงตุลาคม เพื่อลดมวลน้ำไหลไปรวม จ.อุบลราชธานี

ด้านลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ อ่างเก็บน้ำหลายแห่งมีน้ำสูงใกล้เต็มความจุ เช่น ห้วยหลวง 90% น้ำอูน 90% น้ำพุง 63% และหนองหาร 85% ที่ประชุมมีมติให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำ อ่างฯ ห้วยหลวงปรับระบายน้ำเต็มศักยภาพโดยไม่กระทบท้ายน้ำ อ่างฯ น้ำอูนติดตั้งกาลักน้ำช่วยระบาย และหนองหารเร่งแก้ปัญหาคอขวดพร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสริม

เลขาธิการ สทนช. ย้ำว่า ระหว่างวันที่ 20 – 24 ก.ย.นี้ เป็นช่วงสำคัญทุกหน่วยต้องเร่งพร่องน้ำให้มากที่สุด ภายใต้เงื่อนไขไม่กระทบท้ายน้ำและสอดรับกับปริมาณฝน เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนให้น้อยที่สุด

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์อุทกภัย ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม และฉะเชิงเทรา 57 อำเภอ 340 ตำบล 1,810 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 66,963 ครัวเรือน 221,187 คน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย (จ.เพชรบูรณ์ พิจิตร พระนครศรีอยุธยา) ดังนี้

1. จังหวัดพิษณุโลก แม่น้ำยมน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.วังทอง (ลักษณะเป็นชุมชนริมแม่น้ำ เป็นบ้านใต้ถุนยกสูง) อ.บางระกำ (ลักษณะเป็นพื้นที่รับน้ำ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตร) บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 3,457 ครัวเรือน 12,791 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำยม สถานีวัด Y.16 แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก สนับสนุนรถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย 6 คัน เรือท้องแบน จำนวน 6 ลำ

2. จังหวัดเพชรบูรณ์ แม่น้ำป่าสักล้นตลิ่งในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.วิเชียรบุรี อ.ศรีเทพ อ.หล่มเก่า อ.หล่มสัก (พนังกั้นแม่น้ำป่าสัก ลักษณะเป็นกระสอบทราย บริเวณสวนดงตาล เขต ทม.หล่มสัก พังเสียหาย ระยะทาง ประมาณ 20 ม.) บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 5,476 ครัวเรือน 13,853 คน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (ชาย อายุ 19 ปี พลัดตกน้ำ ขณะพายเรือข้ามลำน้ำ) ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำ
ป่าสัก สถานีวัด S.3 แนวโน้มระดับน้ำลดลง

ด้านนายศรัณยู มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วม อ.หล่มสัก ยังคงวิกฤตหลังพนังกั้นน้ำบางจุดเสียหายจากมวลน้ำหลายระลอก ล่าสุดมีปริมาณมากกว่าครั้งก่อน ทำให้พนังคอนกรีตชำรุด เจ้าหน้าที่เร่งแก้ไขโดยจัดหาถุงบิ๊กแบ็ค 200 ถุง บรรจุทรายอุดจุดเสียหายเพื่อป้องกันน้ำเข้าพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจ ซึ่งน้ำท่วมครั้งนี้มาจากน้ำหลากพื้นที่สูง ขึ้นเร็วลดเร็ว โดยจังหวัดได้ตั้งศูนย์บัญชาการที่มูลนิธิกกไทร เพื่อรวบรวมข้อมูลและการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ พร้อมมอบหมายการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการตัดไฟในพื้นที่เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า และได้มีการเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และเด็กออกจากพื้นที่เสี่ยง

กองพลทหารม้าที่ 1  โดยกองพันทหารม้าที่ 28 กองพลทหารม้าที่ 1 นำกำลังพลจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ร่วมบูรณาการกับเทศบาลเมืองหล่มสัก ส่วนราชการในพื้นที่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อำเภอหล่มสัก ส่วนราชการในพื้นที่ได้ร่วมกันทำพนังกั้นน้ำชั่วคราวเพื่อป้องกันการล้นทะลักของน้ำในแม่น้ำป่าสัก หากไม่มีฝนตกไม่มีน้ำเข้ามาเพิ่มเติมคาดว่า 3-4 วัน จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่น และมูลนิธิกู้ภัย เร่งช่วยเหลือประชาชน พร้อมแจ้งเตือนพื้นที่ท้ายน้ำให้เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง 

3. จังหวัดพิจิตร แม่น้ำยมและแม่น้ำน่านล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 9 อำเภอ ได้แก่ อ.สามง่าม โพทะเล โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง บางมูลนาก ทับคล้อ เมืองฯ ดงเจริญ และสากเหล็ก (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,528 ครัวเรือน 5,654 คน และพื้นที่การเกษตร 5,075 ไร่ ถนน 3 สาย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (หญิง 17 ปี) ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำน่าน แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ สุขาเคลื่อนที่ 7 หลัง โดย ศูนย์ ปภ. เขต 8 กำแพงเพชร ด้านขนย้ายผู้ประสบภัย เรือพาย 20 ลำ

4. จังหวัดนครสวรรค์ แม่น้ำยมและแม่น้ำน่านเอ่อล้นเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ชุมแสง เมืองฯ ตาคลี และโกรกพระ ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,557 ครัวเรือน 7,647 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำน่าน แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ มอบถุงยังชีพ 403 ถุง เรือพาย 142 ลำ เรือท้องแบน 2 ลำ เครื่องสูบน้ำ 9 เครื่อง การเสริมคันกั้นน้ำชั่วคราว กระสอบทราย 16,200 ใบ

5. จังหวัดอุทัยธานี เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ ห้วยคต ทัพทัน และ อ.สว่างอารมณ์ เบื้องต้นประชาชนได้รับผลกระทบ 884 ครัวเรือน 2,643 คน และพื้นที่การเกษตร 669 ไร่ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประกอบอาหารจัดเลี้ยงผู้ประสบภัย น้ำดื่ม 1,325 ขวด โดย ศูนย์ เขต 16 ชัยนาท สุขากระดาษ จำนวน 50 ชุด หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 15 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อบต.เกาะเทโพ มอบข้าวกล่อง 300 กล่อง และน้ำดื่มบรรจุขวด 1,200 ขวด

6. จังหวัดชัยนาท น้ำเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.สรรพยา มโนรมย์ วัดสิงห์ และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 399 ครัวเรือน 1,024 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยาสถานีวัด C.13 แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 3 เครื่อง ทำแนวคันกั้นน้ำ สนับสนุนรถแบคโฮ และรถหกล้อ วางแนวบิ๊กแบ็คเพื่อติดตั้งเครื่องสูบน้ำ

7. จังหวัดสิงห์บุรี เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.อินทร์บุรี พรหมบุรี และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 767 ครัวเรือน 2,111 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา สถานีวัด C.3 แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ รถประกอบอาหาร รถผลิตน้ำดื่ม พร้อมขวดน้ำ จำนวน 2,500 ขวด โดย ศูนย์ ปภ. เขต 16 ชัยนาท ชุดครอบครัว (Family Kit) จำนวน 150 ชุด เต็นท์ 30 หลัง จากคลังเก็บสิ่งช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน (DELSA) มอบถุงยังชีพ รถสุขาเคลื่อนที่ 1 คัน โดย กอ.รมน.จ.สห. และกองพลทหารปืนใหญ่ (ป.71 พัน.721) แจกชุดยาสามัญประจำบ้าน 400 ชุด เครื่องสูบน้ำ 4 เครื่อง

8. จังหวัดอ่างทอง น้ำเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ป่าโมก ไชโย วิเศษชัยชาญ และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,025 ครัวเรือน 3,793 คน พื้นที่การเกษตร 788 ไร่ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา สถานีวัด C.7A แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ รถผลิตน้ำดื่ม 1 คัน โดย ศูนย์ ปภ. เขต 2 สุพรรณบุรี รถขนย้ายผู้ประสบภัย 3 คัน เรือพาย 22 ลำ ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ 44 ทีม เครื่องสูบน้ำ 14 นิ้ว 3 เครื่อง และเครื่องสูบน้ำ 12 นิ้ว 34 เครื่อง โดย โครงการชลประทานอ่างทอง

9. จังหวัดสุพรรณบุรี น้ำจากแม่น้ำท่าจีนเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ อ.บางปลาม้า อ.สองพี่น้อง อ.เดิมบางนางบวช อ.ดอนเจดีย์ และ อ.อู่ทอง (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 11,182 ครัวเรือน 28,500 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำท่าจีน แนวโน้มระดับน้ำลดลง หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ เรือเหล็ก 10 ลำ โดย ทต.บ้านแหลม อ.บางปลาม้า เรือพลาสติก 30 ลำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำหลายจุดในพื้นที่ สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ 13 เครื่อง โดยโครงการชลประทานสุพรรณบุรี

10. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ อ.เสนา อ.ผักไห่ อ.บางบาล อ.บางไทร อ.พระนครศรีอยุธยา อ.บางปะอิน อ.มหาราช และอ.บางปะหัน (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 31,227 ครัวเรือน 115,000 คน โรงเรียน 10 แห่ง โรงพยาบาล 1 แห่งสถานที่ราชการ 6 แห่ง วัด 11 แห่ง มัสยิด 1 แห่ง ถนนในหมู่บ้าน 21 สาย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (ชาย) และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา สถานีวัด C.67 แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ มอบเต็นท์ผู้ประสบภัย จำนวน 160 หลัง รถผลิตน้ำดื่ม 1 คัน เรือท้องแบน พร้อมเครื่องยนต์ 4 ลำเรือเล็กพร้อมไม้พาย 120 ลำ เครื่องสูบส่งน้ำ ขนาด 14 นิ้ว 2 เครื่อง

11. จังหวัดปทุมธานี เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ อ.สามโคก ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,108 ครัวเรือน 7,575 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ สร้างทางเดินชั่วคราวในชุมชน โดย อปท. เครื่องสูบน้ำ 20 เครื่อง โดย อบจ.ปทุมธานี

12. จังหวัดนครปฐม แม่น้ำท่าจีนน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.บางเลน เมืองฯ สามพราน กำแพงแสน ดอนตูม และนครชัยศรี (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,066 ครัวเรือน 8,436 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำท่าจีน แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ เครื่องสูบน้ำ จำนวน 1 เครื่อง โดย ศูนย์ ปภ. เขต 1 ปทุมธานี ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ บริเวณประตูระบายน้ำ รวม 32 เครื่อง โดยโครงการชลประทานนครปฐม

13. จังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.บางน้ำเปรี้ยว อ.เมืองฯ ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,287 ครัวเรือน 12,162 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำบางปะกง แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ชุดธารน้ำใจบรรเทาทุกข์จำนวน 2,538 ชุด ชุดยาสามัญประจำบ้าน 150 ชุด เรือพลาสติก 300 ลำ เครื่องสูบน้ำ ชนิดไฮโดร์โฟร์ 30 นิ้ว จำนวน 2 เครื่อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง