นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ บอกว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กระทรวงพาณิชย์ จะกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องมีหลักฐานกระบวนการผลิตที่ “ปลอดการเผา” เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดน และสร้างมาตรฐานการค้าใหม่ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยแต่ละปี ไทย ต้องนำเข้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กว่า 2 ล้านตัน เนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยแหล่งนำเข้า ส่วนใหญ่ มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่หลายพื้นที่ยังใช้วิธีเผาไร่หลังเก็บเกี่ยว โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากเมียนมา มีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 90%
ก่อนที่ในระยะที่ 2 จะเริ่มภายหลัง จาก พ.ร.บ. อากาศสะอาด และกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้เป็นต้นไปแล้ว จะใช้มาตรการที่มีความเข้มงวดมากขึ้น เช่น การนำเข้าจะต้องใช้ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น และจะต้องมีแผนที่แปลงการเพาะปลูกมาประกอบด้วย
ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ไทย ใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม กับการนำเข้าสินค้าเกษตร โดยคำนึงถึง พันธกรณีระหว่างประเทศ ทั้งกรอบ ASEAN และ องค์การการค้าโลก WTO โดยมาตรการฯ อยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี ควบคู่กับแนวทางการป้องกันการขาดแคลนข้าวโพดเพื่อใช้ผลิตอาหารสัตว์ในกรณีที่การนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหา อาทิ การขยายโควตานำเข้าในกรอบ WTO พร้อมลดภาษีลงเหลือ 0% ในประเทศที่ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สำคัญของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา บราซิล และ อาร์เจนตินา แต่ยังคงมาตรการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอย่างเข้มงวดเช่นกัน
สำหรับมาตรการใหม่ กำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องขึ้นทะเบียนรายปีกับกรมฯ และต้องแสดงหลักฐานว่าสินค้ามาจากการผลิตแบบปลอดการเผาตามหลักฐานที่กำหนด แต่ในช่วงแรก ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน (transitional period) / ผู้นำเข้าไทย สามารถรับรองตนเองได้ว่าสินค้านำเข้ามาจากแหล่งที่ไม่เผา หรือใช้เอกสารจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเป็นผู้รับรองก็ได้ พร้อมกับจะต้องมีการบันทึกข้อมูลการเพาะปลูก และที่ตั้งแปลงปลูกของสินค้าที่นำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแปลงเพาะปลูกในกรณีที่เกิดเหตุสงสัย โดยมีเป้าหมาย จะเริ่มตั้งแต่มกราคม 2569 ไปจนถึง พ.ร.บ. อากาศสะอาดและกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้