“อนุทิน” หารือ สมาคมธนาคารไทย เร่งแก้หนี้ เพิ่มสภาพคล่อง SMEs ฟื้นการเป็นผู้นำเศรษฐกิจภูมิภาค

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยทีมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางมาที่สมาคมธนาคารไทยเพื่อหารือในหัวข้อ “ฝ่าวิกฤต พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ด้วยพลวัตใหม่”

นายอนุทิน กล่าวว่า การหารือครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นการหารือในหลายประเด็นที่รัฐบาล มีความห่วงใยและมาขอรับการสนับสนุนจากสมาคมธนาคารไทย โดยเรื่องหลัก เช่น ปัญหาหนี้สินของประชาชน หนี้สิน SMEs หนี้ครัวเรือน โดยอยากขอความร่วมมือสมาคมธนาคารไทยในการผ่อนปรน หรือเร่งให้มีสภาพคล่องเข้าไปในตลาดสำหรับลูกค้าที่ยังมีศักยภาพที่สามารถผลิตสินค้าให้เข้าไปในตลาดได้ รวมทั้งการรับฟังความเห็นของสมาคมธนาคารไทย ความกังวล ความห่วงใย ขณะนี้ต้องสู้และแข่งขันกับภูมิภาคด้วยจะทำอย่างไรที่จะทำให้ระบบการธนาคารของประเทศไทยที่เคยเป็นผู้นำกลับคืนมาอีกครั้งในภูมิภาคอาเซียน ทำอย่างไรให้เกิดการแข่งขันกับตลาดโลกที่มีพื้นฐานการประกอบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน  

ซึ่งในครั้งนี้ได้เข้ามารับฟังแนวทางต่างๆ สิ่งใดที่รัฐบาลจะทำให้ได้จะเร่งดำเนินการ ส่วนตัวไม่กังวล เนื่องจากทีมรัฐมนตรีของตนเองอยู่ในแวดวงด้านนี้มาก่อน ขณะนี้รับข้อเสนอไปหมดแล้ว ดังนั้นตนเองมีหน้าที่เห็นชอบ และผลักดันตามที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คือนายเอกนิติจะนำเสนอ มั่นใจว่าทีมเศรษฐกิจและสมาคมฯ จะนำการหารือครั้งนี้ไปสู่การปฏิบัติให้เร็วที่สุด และจะเร่งเรื่องศักยภาพของประเทศไทย การเพิ่มมูลค่าด้านการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมากที่สุด ภาคบริการ การแพทย์ การแพทย์เพื่อสุขภาพ เกษตรกรรม ทั้งผู้ผลิตและแปรรูป รวมถึงราคาพืชผลด้านการเกษตร และยังมีอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฮเทคที่ประเทศไทยมีพื้นที่มากเพียงพอ ที่จะรองรับการขยายตัวอุตสาหกรรมด้านนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขยายขนาดทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้ยังได้หารือในทุกเรื่อง ซึ่งเรื่องการเสริมสภาพคล่องทางธนาคารต้องประเมินศักยภาพของลูกหนี้และลูกค้า โดยได้ขอความร่วมมือจากสมาคมธนาคารไทยว่า พยายามอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบให้มากขึ้น เพราะเมื่อเงินเก่าติดอยู่ และเงินใหม่ไม่เข้าไป เงินเก่าก็จะหายไปด้วย ซึ่งทางธนาคารต้องไปประเมินความเสี่ยง แต่ลูกหนี้จะต้องมีศักยภาพด้วยว่าจะสามารถสานต่อธุรกิจของตนเองต่อไปได้ ขณะที่ธนาคารต้องการปล่อยสินเชื่อแต่ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของผู้ประกอบการ จึงเป็นสิ่งที่จะอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ เพราะต้องแข่งขันตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยหลายคนยังติดอยู่ คือยังอยากยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ แต่ลืมไปว่ารอบบ้านของไทยและคู่แข่งมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมา ดังนั้นไม่ต้องยึดติดในรูปแบบเดิม จำเป็นต้องพัฒนาเพิ่มมูลค่าเรื่องประสิทธิภาพการผลิตสินค้าต้องดีขึ้น ต้นทุนต้องต่ำลง เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจจะทราบดีว่า จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันไปไม่พ้น

ส่วนกลไกที่ภาครัฐจะต้องช่วยเหลือคือ การหาช่องทางในการจำหน่ายสินค้าให้มากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ได้พูดคุยกัน และเคยพูดว่าจะไปยึดติดไม่ได้ ซึ่งประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน จะไปยึดกับประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุด แล้วอยู่ตรงจุดนั้น ไม่คิดหาภูมิภาคใหม่ ๆ ที่จะสามารถกระจายสินค้าของไทยโดยใช้ศักยภาพทางการผลิตของไทย ไม่ไปหาภูมิภาคอื่นๆ ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อสินค้าเราดี ไปขายที่ไหนในโลกนี้ต้องขายได้ ซึ่งเป็นหลักที่รัฐบาลต้องเร่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการ สนับสนุนสินค้าของไทย และสินค้าที่เมื่อตีตราแบรนด์ไทยไปแล้วจะได้รับการยอมรับและเป็นที่น่าเชื่อถือ

สำหรับเรื่องร่างนโยบายรัฐบาลในการแถลงต่อรัฐสภาในหมวดเศรษฐกิจนั้น ขณะนี้เค้าโครงเนื้อหารายละเอียดต่าง ๆ เสร็จหมดแล้ว แต่เมื่อมาหารือกับสมาคมธนาคารไทย หรือแม้แต่พบกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประชาชนก็นำมาปรับเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ตรงกับความต้องการ ความห่วงใยของทุกภาคส่วนให้มากที่สุด โดยนโยบายด้านเศรษฐกิจถือเป็นนโยบายที่ประกอบด้วยความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของประชาชน แผนการทำงานของรัฐบาล  และยืนยันว่า รัฐบาลนี้ให้สัญญาทุกภาคส่วนไว้แล้วว่า 4 เดือนจะยุบสภา ดังนั้นเรื่องการจะไปคิดออกกฎหมายใหม่คงไม่ทัน เพราะสภาชุดนี้จะปิดในสิ้นเดือนตุลาคม จึงจะใช้กฎหมายที่มีอยู่และดำเนินการตามกฎหมายให้มากที่สุด ส่วนไหนที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมหรือทำลายเศรษฐกิจ หรือผิดกฎหมายก็ใช้กฎหมายที่มีอยู่ บุคลากร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปราบปราม ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือข้ามชาติ ซึ่งต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด เมื่อใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดแล้วจะแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้

ด้านนายเอกนิติ กล่าวว่า ได้หารือแนวทางการร่วมมือ ซึ่งปัญหาของเศรษฐกิจไทยมีโครงสร้างมากนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าเราจะฟื้นเศรษฐกิจไทยอย่างไรให้เร็ว และต้องยั่งยืนด้วย คือเราต้องฟื้นในระยะสั้นแต่ให้มีผลในระยะยาวด้วย ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยั่งยืนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันที่เราสามารถทำได้ แก้ปัญหาเก่า ๆ ที่เราสามารถที่จะทำได้ เรื่องหนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาสะสมมานานซึ่งได้รับคำแนะนำที่ดีจากสมาคมธนาคารไทยและเราจะจับมือทำงานร่วมกัน เรื่องสภาพคล่องซึ่งเป็นหัวใจหลักของผู้ประกอบการไทย เราจะพยายามให้สภาพคล่องไปถึงเขาไม่ใช่แค่เรื่องแก้ปัญหาระยะสั้นเราจะเตรียมพร้อมผู้ประกอบการไปสู่โลกยุคใหม่ให้สามารถแข่งขันได้และเก่งขึ้น พัฒนาทักษะ สมาคมธนาคารไทยจะเหมือนน้ำมันหล่อลื่นนำไปหล่อลื่นผู้ประกอบการไทยเพื่อส่งเสริมให้เขาเข้าสู่ธุรกิจใหม่ เวลาสั้นๆ นายกรัฐมนตรีใช้คำว่า “QUICK BIG WIN” สร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจไทย และเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยด้วย และที่สำคัญคือต้องทำด้วยเสถียรภาพให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นกับต่างชาติได้ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องไปทำการบ้านต่อ

ส่วนเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเงินสีเทาไหลเข้ามานั้น ตามนโยบายนายกฯ “สั่งวันนี้ ให้ทำเมื่อวาน” ซึ่งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 ได้ประสานกับทีมที่กระทรวงการคลังให้ Connect the Dots (รวบรวมข้อมูล) ไว้แล้ว และวันนี้ทางสมาคมธนาคารไทยมาฉายภาพให้เห็น และชี้จุดเดียวกันที่เราเจอ คือ เรื่องค่าเงิน ทั้งนี้มีหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงการคลัง โดยจะมีทีมทำงานร่วมกัน ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด

ด้านนายผยง ศรีวนิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ ต้อง “Connect the Dots” การขับเคลื่อนเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผ่านหลายกลไกในระบบตลาด ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ที่เป็นทั้งระบบธนาคาร และไม่ใช่ระบบธนาคาร ซึ่งการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินนั้น ขณะนี้ ธปท. และ ปปง. กำลังเร่งดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลมาหารือในครั้งนี้ ทางสมาคมธนาคารไทย ไม่ได้ขออะไรเพิ่มเติม เพราะนายกรัฐมนตรีเข้าใจดีอยู่แล้ว และทีมงานมีทุก Pillar (เสาหลัก) ทั้งการเงิน การธนาคาร ตลาดทุน พลังงาน การค้าการขาย ครบทั้งหมด ซึ่งวันนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรอบ 58 ปี ที่นายกรัฐมนตรีมาเอง และทั้งคณะรัฐมนตรีทางเศรษฐกิจ ทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน

รัฐบาลฝากโจทย์ใหญ่เรื่องหนี้ครัวเรือนที่ทั้งองคาพยพต้องไปด้วยกัน และต้องทำให้เร็วที่สุด ตามความต้องการของรัฐบาลคือ “QUICK BIG WIN” ทางภาคธนาคารได้รับทราบนโยบาย ซึ่งจะมีการปรับรายละเอียดเพื่อให้สามารถร่วมมือกันได้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน สมาคมธนาคารไทยไม่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทำอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากนายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจมีความเข้าใจในเรื่องการเงินการธนาคารครอบคลุมทุกด้านอยู่แล้ว สำหรับมาตรการในการเพิ่มสภาพคล่อง เรื่องข้อมูลเป็นจุดสำคัญที่ระบบไม่มี เนื่องจากเมื่อดูโครงสร้าง SMEs พบว่า มีผู้ประกอบการอยู่นอกระบบมากถึงร้อยละ 48 ส่งผลให้ไม่มีข้อมูล นำไปสู่ความสับสน สะท้อนไปถึงคุณภาพของหนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความเข้าใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นนักธุรกิจ เข้าใจทุกข้อต่อของห่วงโซ่อุปทาน และองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง