นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา พร้อมแนวทางการบรรเทาและแก้ไขปัญหาให้กับราษฎรในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยมี นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา โดยปัจจุบันมีหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลางประสบอุทกภัย ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและริมแม่น้ำสายหลัก
องคมนตรี ได้กำชับให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ราษฎรในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เตรียมพร้อม
ด้านเครื่องจักร เครื่องมือและเจ้าหน้าที่ ให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เมื่อต้องเผชิญเหตุ
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับราษฎรให้ได้มากที่สุด
นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า จากการคาดการณ์สภาพอากาศและประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า หลายพื้นที่มีแนวโน้มเกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ กรมชลประทานได้เร่งพร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำ เพื่อรักษาระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมไว้รองรับฝนที่จะตกลงมาเพิ่ม ควบคู่ไปกับการใช้พื้นที่หน่วงน้ำเพื่อชะลอมวลน้ำจากตอนบนไม่ให้ไหลไปกระทบพื้นที่ลุ่มต่ำด้านท้ายเขื่อน มีการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักร เครื่องมือ และบุคลากร รวมถึงบูรณาการกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อรับมือสถานการณ์น้ำหลากอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ของ 2 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาณน้ำเก็บกักรวม 10,799 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม) (ประมาณ 80%) ยังสามารถรับน้ำได้อีก 2,663 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีการปรับลดการระบายน้ำเหลือ 5 ล้าน ลบ.ม./วัน เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำเก็บกักรวม 8,433 ล้าน ลบ.ม (89%) ยังสามารถรับน้ำได้อีก 1,077 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีการทยอยปรับลดการระบายน้ำเหลือ 10 ล้าน ลบ.ม./วัน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ลดผลกระทบพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
ส่วนของสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ยังคงการระบายน้ำที่ 2,200 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้พื้นที่ริมน้ำและนอกคันกั้นน้ำในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา เช่น อ.บางบาล และ อ.เสนา โดยเฉพาะแม่น้ำน้อย คลองโผงเผง และคลองบางบาล มีระดับน้ำสูงกว่าตลิ่งหลายจุด กรมชลประทาน ได้กระจายน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก รวมกว่า 334 ลบ.ม./วินาที พร้อมประสานจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เร่งประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนล่วงหน้า และจัดเตรียมเครื่องจักร-เครื่องสูบน้ำเข้าไปให้การช่วยเหลือ รวมถึงแผนเยียวยาเกษตรกรหลังน้ำลด
สำหรับ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี ปัจจุบันมีการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำป่าสัก 550 ลบ.ม./วินาที พร้อมควบคุมน้ำไหลผ่านเขื่อนพระราม 6 ในอัตรา 533 ลบ.ม./วินาที ก่อนจะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำป่าสัก ตั้งแต่ท้ายเขื่อนป่าสักลงมาจะพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาวะน้ำทะเลหนุนสูง รวมไปถึงสถานการณ์น้ำจากลุ่มน้ำสาขา เพื่อควบคุมและลดผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำด้านท้ายให้มากที่สุด
ประชุมเน้นย้ำถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเร่งระบายน้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาลงสู่ทะเลให้ได้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน พื้นที่การเกษตร และพื้นที่เศรษฐกิจในภาพรวม จำเป็นที่ทุกส่วนราชการจะต้องบูรณาการสรรพกำลังร่วมกันทั้งด้านวิศวกรรม การบริหารจัดการ และการสื่อสารข้อมูลอย่างทันท่วงที เพื่อสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกัน ป้องกันการสับสนของข้อมูล
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด มีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาปรับการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม พร้อมปฏิบัติตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อย่างเคร่งครัด รวมทั้งตรวจสอบอาคารชลประทานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถบรรทุกน้ำ และเครื่องจักรอื่น ๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 6,700 หน่วย สำหรับสนับสนุนและใช้ในการบรรเทาภัยและเร่งระบายน้ำในพื้นที่ประสบอุทกภัย ยืนยันมีความพร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากน้ำท่วม สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนให้มากที่สุด
สำหรับกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดำเนินงานด้านการป้องกันและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ได้เร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม โดยขณะนี้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มีระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการจัดเตรียมกำลังคน อุปกรณ์ช่วยเหลือ เครื่องจักรกลสาธารณภัย และสิ่งจำเป็นสำหรับการอพยพประชาชน เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที นอกจากนี้ กรมการปกครองยังได้บูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติด้วยเป้าหมายสำคัญ คือการลดความเดือดร้อนของประชาชนและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์อุทกภัย ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 15 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ น่าน พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม และฉะเชิงเทรา จำนวน 65 อำเภอ 402 ตำบล 2,342 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 79,968 ครัวเรือน 261,421 คน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย (เพชรบูรณ์1 ราย พิจิตร 1 ราย พระนครศรีอยุธยา 2 ราย)
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประชุมติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อหารือแนวทางช่วยเหลือประชาชน และวางแผนป้องกันอุทกภัย รวมถึงการฟื้นฟูหลังสถานการณ์คลี่คลาย โดยสรุปในปี 2568 จ.พระนครศรีอยุธยาประสบอุทกภัยแล้ว 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 27 พ.ค.–8 มิ.ย. กระทบ 4 อำเภอ 3,674 ครัวเรือน ครั้งที่ 2 วันที่ 21 ก.ค.–9 ส.ค. กระทบ 4 อำเภอ 1,659 ครัวเรือน ครั้งที่ 3 ตั้งแต่ 20 ส.ค.–23 ก.ย. กระทบ 9 อำเภอ 34,354 ครัวเรือน โครงสร้างพื้นฐานได้รับผลกระทบรวม วัด 21 แห่ง โรงเรียน 15 แห่ง (ยังไม่เปิดการเรียนการสอน กำหนดเปิดการเรียนวันที่ 11 ต.ค. 68 หรือหากโรงเรียนใดยังเปิดได้ ให้สามารถพิจารณาเปิดเรียนชดเชยได้ในภายหลัง) มัสยิด 1 แห่ง ถนน 33 สาย และสถานที่ราชการ 8 แห่ง
จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมคณะ ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยที่มัสยิดอะมาดียะห์ (103 ชุด) และมัสยิดอาชียิดดารอยน์ (165 คน) โดย จ.พระนครศรีอยุธยา มีผู้ประสบภัยรวม 4,397 ครัวเรือน ปัจจุบันการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ระบายน้ำ 2,200 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้ 10 อำเภอในพระนครศรีอยุธยาน้ำล้นตลิ่ง รวม 37,419 ครัวเรือน คาดว่าระดับน้ำจะทรงตัวและเริ่มลดลงภายใน 3 สัปดาห์ กรมชลประทานได้ผันน้ำเข้าระบบกว่า 334 ลบ.ม./วินาที เพื่อบรรเทาผลกระทบ โดยทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้จัดส่งเครื่องสูบน้ำและกระสอบทรายช่วยเหลือใน 10 อำเภอ พร้อมเตรียมมอบถุงยังชีพเพิ่มเติมช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้
จังหวัดนครสวรรค์ โครงการชลประทานนครสวรรค์ ได้เร่งระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญในพื้นที่ อาทิ น้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี และอ่างเก็บน้ำคลองโพธิ์ อ.แม่เปิน จ.นครสวรรค์ เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับรองรับมวลน้ำที่จะไหลเข้ามาในอนาคต เนื่องจาก จ.นครสวรรค์ยังคงมีฝนตกสะสมอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และมีมวลน้ำจากทางภาคเหนือไหลเข้ามาสมทบในพื้นที่ โดยทยอยระบายน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำเพื่อป้องกันน้ำสปิลเวย์ และเพื่อไม่ให้น้ำท่วมบ้านเรือนประชาชน ขณะเดียวกัน ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจติดตามและเตรียมความพร้อมความมั่นคงแข็งแรง ของอาคารชลศาสตร์ที่ต้องรับมือในช่วงฤดูฝนและฤดูน้ำหลากปี 2568 ที่บริเวณประตูระบายน้ำจุดต่างๆ อาทิ ประตูระบายน้ำวังสวัสดี อ.ลาดยาว มีการตรวจสอบอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องกว้านบานระบายน้ำ สลิง ตลอดจนเกียร์มอเตอร์ต่างๆ และทำการทดสอบสามารถใช้การได้ดี พร้อมที่จะควบคุมปริมาณน้ำได้อย่างประสิทธิภาพ
สำหรับประชาชนขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา