หลังจากที่เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยนายอนุทิน ได้นำคณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในวันที่ 24 กันยายน 2568
(24 ก.ย. 68) ภายหลังถวายสัตย์ปฏิญาณตน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) ทันทีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายอนุทิน แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างนโยบายรัฐบาลที่จะนำไปแถลงต่อรัฐสภา เพื่อกำหนดทิศทางการบริหารประเทศไทยในระยะเวลาอันจำกัด ซึ่งเน้นการแก้ไขปัญหา 4 ด้าน ได้แก่
1. ปัญหาเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย ค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ด้วยโครงการ “คนละครึ่ง” ลดค่าเดินทาง ค่าขนส่ง และค่าพลังงาน สนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานทดแทนได้มากขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น
2. ปัญหาความมั่นคง กรณีพิพาท ไทย-กัมพูชา รัฐบาลจะดำเนินมาตรการทางการทูตควบคู่มาตรการทางทหาร เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทย และรักษาประโยชน์ของประชาชนไทย
3. ปัญหาภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ นอกจากจะต้องเร่งรัดทำระบบเตือนภัย ป้องกันภัย จะต้องปรับปรุงระบบ มาตรการการดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งจะต้องแก้กฎระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการได้สะดวก คล่องตัว แก้ปัญหาให้ประชาชนเร็วที่สุด และถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการรั่วไหลหรือการทุจริตคอร์รัปชัน
4. ปัญหาภัยสังคม รัฐบาลจะดำเนินการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด การพนัน การพนันออนไลน์ สแกมเมอร์ เครือข่ายฉ้อโกงประชาชนขนาดใหญ่ที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก และเป็นภัยทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง รวมทั้ง ดำเนินการทางวินัยและกฎหมายกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างเด็ดขาด โดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน แล้วตามด้วยการดำเนินคดีอาญาทุกกรณี ทั้งนี้รัฐบาลยืนยันไม่สนับสนุนธุรกิจการพนันทุกรูปแบบ ไม่มีเอนเตอร์เทนเมนต์แบบมีกาสิโน และไม่อนุญาตให้การพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย
รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าว ราคามันสำปะหลัง และสินค้าเกษตรอีกหลายชนิด โดยจะมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะปุ๋ย พร้อมดำเนินการป้องกัน ปราบปราม ขบวนการลักลอบนำผลผลิตการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าประเทศไทยอย่างไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรในประเทศตกต่ำ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพการผลิตภาคเกษตรให้เป็นเกษตรอัจฉริยะ
รัฐบาลจะจัดทำระบบสาธารณสุข ให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและสะดวกที่สุดและปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา พร้อมเดินหน้าเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทย เข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
นอกจากนี้ รัฐบาลจะจัดให้มีการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ในวันที่มีการลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบายรัฐบาล ต่อรัฐสภา ซึ่งคาดว่าจะยุบสภาฯ ภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ภายในเดือนมีนาคม 2569 หรืออย่างช้าต้นเดือนเมษายน 2569 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้กำหนดต่อไป
พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำหนังสือกราบเรียนประธานรัฐสภา เพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลในช่วงวันที่ 28–30 กันยายน 2568 และยังได้กำหนดแนวทางการประชุมคณะรัฐมนตรี รวมถึงปรับกรอบการทำงานให้ทุกหน่วยงานเร่งรัด ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน แต่ยังคงความถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคณะรัฐมนตรีทุกคนต้องพร้อมทำงานตลอดเวลาสัปดาห์ละ 7 วัน ซึ่งจะเป็นการทำงานมิติใหม่ของคณะรัฐมนตรีประเทศไทย และการประชุมคณะรัฐมนตรีอาจจะมีมากกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน ในกรณีที่มีความจำเป็น เพราะปัญหาของประเทศไม่สามารถรอได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีพร้อมที่จะมุ่งมั่น ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ และสติปัญญาอย่างเต็มที่ เพื่อปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินอย่างดีที่สุด เพื่อตอบสนองประโยชน์สุขให้กับประชาชนชาวไทยทุกคน นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ที่ประชุมฯ มีมติมอบหมายนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ดังนี้
1. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรี
2. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณากลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี ในเรื่องต่อไปนี้
2.1 เรื่อง การดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครองที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรี
2.2 เรื่อง การดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญในกรณีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
2.3 เรื่อง เกี่ยวกับกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติและพระราชกำหนด
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาและมีมติอนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งใดๆ ในเรื่องต่างๆ ที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีแล้ว สลค. จะจัดทำร่างมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นๆ แล้วเสนอให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาและลงนามรับรองความถูกต้องก่อน จึงจะถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีที่จะแจ้งให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องและหน่วยงาน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบ ถือปฏิบัติ หรือดำเนินการต่อไป
การพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายโดยเฉพาะในระดับพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด หรือการดำเนินคดีความต่างๆ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครองที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรี จะต้องมีการตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อกฎหมายอย่างรอบด้านและเพื่อให้การพิจารณาของนายกรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรอบคอบ
และที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอแต่งตั้งนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ในตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2568 เป็นต้นไป