นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมคณะฯ ประชุมหารือร่วมกับ นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO (อ่านว่า เฟ็ทโก้) ในหัวข้อ “ข้อเสนอจากตลาดทุน เพื่อเสริมพลังภาครัฐ” ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมโดยระบุว่า การหารือร่วมกันในวันนี้ได้เนื้อหาสาระที่จะแสวงหาความร่วมมือกันมากพอที่จะนำไปเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและด้านความเข้มแข็ง แข็งแกร่งของตลาดทุนไทย โดยหารือเกี่ยวกับการเพิ่มสภาพคล่องระยะยาวในระยะตลาดทุนไทย เสริมสร้างความเชื่อมั่นนโยบายภาครัฐให้กับนักลงทุน พัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยกลไกของตลาดทุน ซึ่งมีรายละเอียดให้ภาครัฐและฝ่ายตลาดทุนหารือต่อไป เพื่อให้นำมาซึ่งการดำเนินการโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ เพื่อทำให้ตลาดทุนไทย เป็นตัวชี้วัดด่านแรกในการแสดงความมั่งคั่งของประเทศ ให้ได้รับความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่จากนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมถึงได้หารือถึงการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ซึ่งจะต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจ หรือการกิโยติน กฎหมาย ผ่านกฎกระทรวงที่กำกับดูแล ต้องไม่แตะการแก้ไขกฎหมายที่ต้องใช้สภาผู้แทนราษฎร
พร้อมระบุอีกว่ารัฐบาลชุดนี้จะใช้เวลาที่เหลือ 4 เดือนอย่างเต็มที่ ส่วนไหนที่ทำได้ในเชิงการตัดสินใจบริหารก็จะเร่งทำ โดยในฐานะนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้คณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจทั้ง การคลัง พาณิชย์ อุตสาหกรรมและพลังงาน เร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่น ฟื้นฟูและวางรากฐานอนาคตของตลาดทุนไทยของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
ย้ำว่าบุคลากรที่เข้ามาทำงานไม่ถูกครอบงำทางการเมืองและมีอำนาจเต็มในการทำงาน สามารถใช้ความรู้ความสามารถทำภารกิจตามนโยบายของตนอย่างเต็มที่ เพื่อฟื้นฟูสร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่งคั่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ กฎหมายและไม่ทำผิดรัฐธรรมนูญ
พร้อมฝากถึงภาคตลาดทุนไทยว่า ตลาดทุนและเศรษฐกิจเป็นเรื่องคู่กัน ตนคาดหวังให้ดัชนีหุ้นไทยพุ่งและสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น ตนมั่นใจว่า ประชาชนเชื่อมั่นต่อทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลชุดนี้ระดับหนึ่ง
ส่วนกรณีที่ Fitch Ratings บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกเป็นเจ้าถัดมาได้ประกาศปรับ Outlook ของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” ไปเป็น “เชิงลบ” จากปัจจัยการเมือง รายจ่าย ในขณะที่รัฐบาลก็มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจลดค่าครองชีพและใช้เครื่องมือทางการคลังนั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า การปรับลด Outlook เป็นการปรับลดจากพื้นฐานในอดีต วันนี้เป็นรัฐบาลใหม่ ซึ่งเรา ได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และจะพยายามดำเนินการ ให้ Outlook ปรับเพิ่มขึ้นโดยการสร้างความเชื่อมั่นและกำหนดนโยบายต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้เดินสายพูดคุยกับผู้ประกอบการ สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย ซึ่งปัญหาพื้นฐานที่ได้รับฟังจากทุกภาคส่วนเอกชนก็คือ ทิศทางการสนับสนุนของรัฐต่อผู้ประกอบการที่ไม่ชัดเจน ซึ่งตนมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้ที่มาจากภาคเศรษฐกิจ ซึ่งเข้าใจบริบทปัญหา ก็จะเร่งแก้ไขปัญหาร่วมกัน
พร้อมย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ได้เสมอไป แต่ขอนึกถึงประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก หากนโยบายที่เป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์กับประชาชน ค้างท่อจากรัฐบาลชุดก่อน เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชนและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำความสงบให้สังคมได้ก็จะนำมาสานต่อไป เช่นเดียวกับนโยบายคนละครึ่งที่รัฐบาลชุดนี้จะดำเนินการต่อให้ได้ ซึ่งได้เตรียมงบประมาณเอาไว้ และหากไม่สามารถใช้งบประมาณก้อนนี้ได้ก็ได้เตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเอาไว้ เพื่อไม่มีเป็นการเลื่อนนโยบายที่จะดำเนินการให้แก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ว่า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองจริงๆ
ส่วนเป้าหมายและนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ก็อยากให้ทุกคนสนุกกับการลงทุน อยากเห็นการสนับสนุนจากภาครัฐและอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้สามารถประกอบกิจการได้ด้วยความสะดวก สร้างผลกำไรและก็ทำให้นักลงทุนได้มีมูลค่าเพิ่มจากการลงทุน