พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หลังได้รับรายงานจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ว่าตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 24 กันยายน 2568 จนถึงช่วงเช้ามืดของวันที่ 25 กันยายน 2568 หน่วยได้ตรวจพบทหารกัมพูชายิงปืนเล็ก และปรากฏเสียงคล้ายการขว้างลูกระเบิดเข้ามาในบริเวณแนวลวดหนามป้องกันตนเองของฝ่ายไทย นอกจากนี้ยังตรวจพบโดรนบินรุกล้ำเข้ามาในแนวเขตแดน ใกล้เคียงปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และพื้นที่พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งคาดว่าการกระทำการยั่วยุดังกล่าว เพื่อหวังในการดูปฏิกิริยาการตอบโต้และทดสอบแนวการวางกำลังของฝ่ายไทย
ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่ากัมพูชายังคงละเมิดในมาตรการหยุดยิง รวมทั้งมีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะมุ่งสร้างสถานการณ์ยั่วยุต่อเจ้าหน้าที่ทหารไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้เตรียมกำลังที่มีความพร้อมอย่างเข้มงวด เน้นย้ำกำลังพลปฏิบัติงานด้วยความอดทนอดกลั้นและไม่ประมาท เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบการรุกล้ำในอาณาเขตหรือการกระทำที่เป็นปรปักษ์ กองทัพบกพร้อมใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อดูแลรักษาและปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยในทันที
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 25 กันยายน 2568 สถานการณ์โดยรวม ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568
ฝ่ายทหารกัมพูชาได้เพิ่มเติมอาวุธยิงสนับสนุนวิถีตรงเข้ามาในพื้นที่แนวชายแดน โดยนำรถถัง 1 คัน เข้าที่ตั้งยิงบริเวณพื้นที่ตรงข้ามช่องตาเฒ่า ทางขึ้นเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ คาดว่าเป็นการเตรียมการปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายไทย ต่อมาในประมาณเวลา 20.50 น. ทหารไทย ที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณ พื้นที่ช่องกร่าง ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ทางทิศตะวันออก ระยะประมาณ 150 เมตร ติดแนวลวดหนามของฝ่ายไทย และยังตรวจพบแสงไฟประมาณ 5 ดวง ในระยะ 100 เมตร บริเวณแนวรั้วลวดหนาม พร้อมทั้งได้ยินเสียงปืนเล็กยิงเข้ามาบริเวณพื้นที่วางกำลังของฝ่ายเรา จำนวน 3 นัด คาดว่าฝ่ายทหารกัมพูชาพยายามเข้ามา เกาะแนวลวดหนาม ต้องการตรวจสอบแนวการวางกำลัง และยั่วยุทหารไทย และในเวลา 02.50 น. ฝ่ายทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณพื้นที่จุดตรวจสามแยก ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น 1 ครั้ง จากทางทิศใต้ ระยะประมาณ 150 เมตร ติดกับแนวรั้วลวดหนาม คาดว่าเป็นการใช้ระเบิดขว้าง ขว้างเข้ามาแนววางกำลังของฝ่ายไทย เพื่อตรวจสอบแนวการวางกำลัง และยั่วยุฝ่ายทหารไทย ทั้งนี้ฝ่ายทหารไทยไม่มีการตอบโต้ และสูญเสีย โดยยังคงยึดมั่นในหลักการอดกลั้นและปฏิบัติด้วยความรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่ความรุนแรง
การกระทำดังกล่าวของทหารกัมพูชา เป็นการใช้อาวุธเพื่อการยั่วยุ และเพิ่มเติมกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงตามที่ได้ร่วมกันลงนามในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา และการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ไทย-กัมพูชา อีกทั้งยังเป็นการพยายามสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยอาวุธ
เพื่อนำไปสู่การอพยพประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่บริเวณแนวชายแดน สร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายไทย โดยมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและขั้นตอน เพื่อสร้างภาพในเวทีนานาชาติว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายริเริ่มการปฏิบัติการทางทหาร และฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ถูกกระทำ
สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นสัญญาณบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงแสดงท่าทีไม่จริงใจต่อกระบวนการสันติภาพ และมีแนวโน้มที่จะผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น ฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางสันติ แต่ก็พร้อมปฏิบัติการเพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ
ด้านสถานการณ์ที่จังหวัดตราด นายสุเมธ ตะเพียนทอง นายอำเภอบ่อไร่ ประชุมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และซักซ้อมการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังของอำเภอบ่อไร่
โดยได้มีข้อสั่งการสำคัญ ให้ทุกส่วนราชการกำชับการเข้าเวรยาม การรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการ พร้อมทั้งให้เตรียมความพร้อมเคลื่อนย้ายประชาชนไปพื้นที่ปลอดภัย ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดน และขอความร่วมมือประชาชน ดังนี้
1. ติดตามข่าวสารจากทางราชการและหน่วยงานความมั่นคงอย่างใกล้ชิด
2. เตรียมเอกสารสำคัญและสิ่งของจำเป็น ใส่กระเป๋าให้พร้อม (บัตรประจำตัวประชาชน เสื้อผ้า ยารักษาโรค ฯลฯ ) หากมีคำสั่งอพยพให้ออกจากพื้นที่
3. หากพบเหตุผิดปกติ หรือสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
4. ขอให้ประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ทั้งนี้ โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ออกประกาศ ปิดเรียนกรณีพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2568 เนื่องจากมีสถานการณ์ไม่ปลอดภัยจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา กองป้องกันชายแดนที่ 501 ภูมิภาคทหารที่ 5 ส่งหนังสือตอบกลับข้อเสนอจากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด อย่างเป็นทางการ หลังการประชุมระดับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา โดยยอมรื้อถอนบ้าน 1 หลัง และแก้ไขคูสนามตามข้อเรียกร้อง แต่ปฏิเสธที่จะรื้อบ้านประชาชนอีก 2 หลัง ในสวนยางพารา โดยระบุให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC)
ไทย-กัมพูชา ในการพิจารณา โดยเอกสารดังกล่าวลงวันที่ 22 กันยายน 2568 และลงนามโดย พันเอก จัน บุนดี ผู้บังคับกองป้องกันชายแดนที่ 501 ภูมิภาคทหารที่ 5 กองทัพกัมพูชา ส่งถึง นาวาเอก ภริศวร์ วงษ์เพ็ญศรี ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เพื่อตอบประเด็นจากการประชุมหารือระหว่างรองผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชา และเสนาธิการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดของไทย ในหนังสือทางการกัมพูชา ระบุว่า ปัญหาที่ฝ่ายไทยเสนอล้วนเป็นปัญหาเก่าที่ยังคั่งค้าง ดังนั้นปัญหาที่ยังไม่มีความชัดเจนจึงสมควรให้เป็นหน้าที่ของ JBC เป็นผู้แก้ไขตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ จากการที่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาได้แถลงการณ์ตอบโต้ฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 กรณีที่ชาวกัมพูชาขยายชุมชนบุกรุกเข้าไปในเขตไทย ณ พื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว นั้น พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ออกมาแถลงการณ์ให้ข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจนต่อคำแถลงการณ์ของฝ่ายกัมพูชาที่มีข้อมูลในลักษณะบิดเบือนในหลายประการ จึงขอย้ำอีกครั้ง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม ดังนี้
1. การบังคับใช้กฎหมายไทยกับพลเมืองกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาประท้วงที่บ้านหนองจาน และหนองหญ้าแก้ว เป็นการใช้กฎหมายภายในของไทยกับบุคคลที่อยู่ในพื้นที่เขตแดนไทย ซึ่งถูกต้องตามหลักอธิปไตยของรัฐและหลักสากล
2. ตลอดห้วงเวลาการหยุดยิง ประเทศไทยได้ปฏิบัติมาตรการอย่างเคร่งครัด แต่กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่ปลุกปั่นประชาชนเข้ามาประท้วง ถือเป็นการยั่วยุ และละเมิดต่อกฎหมายไทยในหลายมาตรา
3. การกล่าวอ้างของกัมพูชาว่าชาวกัมพูชาอาศัยอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านเปรยจัน ตำบลโอเบยโจน จังหวัดบันเตียเมียนเจย ของกัมพูชามาก่อนที่จะมีการลงนาม MOU 2000 นั้น ปราศจากหลักฐานอ้างอิง จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศในหลายห้วงเวลา พบว่ามีการสร้างชุมชนรุกล้ำประเทศไทย ละเมิด MOU 2000 ซึ่งไทยได้ประท้วงมาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่ไม่แก้ไขและยังขยายพื้นที่เพิ่ม
4. มูลเหตุแห่งความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากฝ่ายกัมพูชา สร้างชุมชน รุกล้ำดินแดนอธิปไตยของไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ประท้วงแต่กัมพูชาไม่แก้ไข จึงควรเป็นฝ่ายไทยที่เรียกร้องต่อการละเมิด ทั้งนี้ การรุกล้ำและการประท้วงโดยใช้สิ่งเทียมอาวุธของชาวบ้านกัมพูชา เป็นการกระทำที่พิสูจน์ได้ว่า มีเจ้าหน้าที่กัมพูชาให้การสนับสนุน เจ้าหน้าที่ไทยจึงจำเป็นต้องดูแลควบคุมความสงบเรียบร้อยตามหลักสากล
5. พิกัดเส้นตรงจากภาพอินโฟกราฟิกที่ฝ่ายไทยนำเสนอ ไม่เคยระบุยืนยันว่าแผนผังดังกล่าวกำหนดเส้นเขตแดน เพราะการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนอยู่ภายใต้อาณัติของกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ทั้งนี้ แผนผังที่ฝ่ายไทยนำแสดงดังกล่าว เป็นเพียงการนำพิกัดหลักเขตแดนไปทำภาพจำลองเส้นเขตแดนบนแผนที่แบบไม่เป็นทางการเท่านั้น เพื่อความเข้าใจของประชาชนทั่วไป และจากหลักฐานดังกล่าวพบการรุกล้ำพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน
6. พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่พิพาทหรือพื้นที่อ้างสิทธิตาม MOU 2000 แต่เป็นเขตแดนไทยที่ชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้กลไก JBC แก้ไขปัญหา
7. ฝ่ายไทยยืนยันไม่มีแนวคิดหรือพฤติกรรมในการรุกล้ำเส้นเขตแดนกัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง กลับเป็นฝ่ายไทยที่ถูกกัมพูชารุกล้ำละเมิด MOU ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ปล่อยให้มีการสร้างอาคาร สถานที่ บ้านเรือน และชุมชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และในเขตที่เป็นอธิปไตยของไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงในกรอบ MOU แล้วกว่า 500 ครั้ง ในห้วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเพิกเฉยและไม่ยอมแก้ไข
8. ฝ่ายไทยยึดหลักการทำงานตามกรอบ JBC และ MOU 2000 เสมอมา แต่การที่กัมพูชาไม่แก้ไขปัญหาการสร้างสิ่งก่อสร้างรุกล้ำ กลับเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งกระบวนการของ JBC อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสะท้อนถึงความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาเขตแดนร่วมกัน
9. การอ้างของกัมพูชาถึงความมุ่งมั่นต่อเงื่อนไขการหยุดยิงตาม GBC นั้น ขัดแย้งต่อหลักฐานที่กองทัพบกตรวจพบ ไม่ว่าจะเป็นการวางทุ่นระเบิด การเคลื่อนกำลัง และการใช้โดรนสอดแนมในพื้นที่ เป็นผู้สนับสนุน ปลุกปั่น และจัดฉากให้ประชาชนกัมพูชาออกมาชุมนุมประท้วงด้วยท่าทีที่ก้าวร้าว ก่อความไม่สงบในดินแดนไทย และใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
ในขณะที่ พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจชุดควบคุมฝูงชน ของจังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 7 หน่วย และร่วมประชุมเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าของเจ้าหน้าที่ประจำชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเข้มงวด จากนั้นได้ตรวจความพร้อมของชุดควบคุมฝูงชนของจังหวัดสระแก้ว เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลทุกหน่วย พร้อมกล่าวว่าได้มาให้กำลังใจแก่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในการรองรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว รวมทั้งดูความพร้อมในเรื่องของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หากมียุทโธปกรณ์ที่ต้องการเพิ่มเติม จะขอสนับสนุนจากกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 มีความซับซ้อน แต่จะทำอย่างเต็มที่เพื่อรักษาอธิปไตยและตามที่รัฐบาลได้มอบหมายอย่างเข้มงวด สำหรับความเคลื่อนไหวของภูมิภาคอื่นๆ ส่วนใหญ่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 กัมพูชาจะใช้กำลังทหารเป็นหลักในการยั่วยุ แต่พื้นที่ภาค 1 ใช้มวลชนยั่วยุ จึงต้องคิดให้รอบคอบในการปฏิบัติงาน เราต้องไม่ตกไปอยู่ในเกมของกัมพูชา
พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง เรื่องสร้างรั้วชายแดนว่า หากเป็นพื้นที่ที่ตกลงเรื่องเขตแดนได้แล้ว หรือมีความชัดเจน จะดำเนินการ โดยให้กองบัญชาการกองทัพไทยเป็นเจ้าภาพ สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที แต่ขณะนี้เป็นจังหวะที่กองบัญชาการกองทัพไทยกำลังผลัดเปลี่ยนผู้บังคับบัญชา จึงต้องให้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนกำลังพลระยะหนึ่ง คาดว่าขั้นตอนและกระบวนการจะดำเนินการไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกรณีทหารกัมพูชายิงปืนขึ้นฟ้าที่ช่องภูผี จังหวัดศรีสะเกษ ได้มอบหมายให้ พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และรอให้พลโท อดุลย์ เดินทางกลับมา จะพูดคุยกรอบอำนาจหน้าที่ในการทำงานอีกครั้ง