“อนุทิน” หารือ ก.ล.ต. – สธท. เร่งฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย เดินหน้าโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เริ่ม ต.ค. 68

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุมหารือเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อการปฏิรูปเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าร่วมการประชุม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มารับฟังข้อเสนอแนะจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย พร้อมทีมเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นฟันเฟืองใหญ่ในภาคเอกชนที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ สร้างอนาคต และเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาในตลาดทุนไทย เนื่องจากระยะเวลาทำงานของรัฐบาลมีไม่มากจะทำงานอย่างเต็มที่ แผนและแนวทางที่นำเสนอเมื่อมีความชัดเจนและส่งผลดีต่อภาพรวม ก็พร้อมที่จะให้คณะรัฐมนตรีพร้อมนำไปออกมาตรการสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล และดำเนินการด้วยความรอบคอบ ไม่ผิดระเบียบ ไม่ผิดกฎหมายและถูกต้องโดยเฉพาะมาตรการทางภาษี

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ได้นำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมาย ได้แก่

1. การผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ

2. การผลักดันกฎหมายเพื่อปฏิรูปตลาดทุน

3. การปรับโครงสร้างภาษีอากรของประเทศไทย การผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การผลักดันกฎหมายเพื่อปฏิรูปตลาดทุน และการปรับโครงสร้างภาษีอากรของประเทศไทย

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สธท.) ได้นำเสนอมาตรการ Quick-Big Win ประกอบด้วย  

1. สร้างความเชื่อมั่นนโยบายภาครัฐ จัดตั้งทีมงานร่วม เพื่อโปรโมท Thailand story ผ่านมุมมอง
ด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน สร้างการสื่อสารอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

2. พัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ ด้วยกลไกตลาดทุน

3. เพิ่มสภาพคล่องระยะยาวในตลาดไทย

4. เดินหน้าอนาคตไทยที่ยั่งยืน เช่น การ upskill reskill แรงงานไทย การปราบปรามการหลอกลวงการลงทุน แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นภาระอุปสรรค ช่วยลดอุปสรรคที่ลดทอนขีดความสามารถของประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะดำเนินการในสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ เช่น กฎระเบียบหรือแก้กฎกระทรวงตามกลไกที่มีอยู่ในกระทรวงหรือหน่วยงานต่างๆ เหมือนการทะลวงท่อให้ลื่นไหลไปได้ คิดว่า 4 เดือนนี้น่าจะเพียงพอที่จะสร้างรากฐานที่ดีให้เกิดความต่อเนื่องในอนาคต โดยจะไม่เสนอให้แก้ไขกฎหมายที่ต้องใช้เวลานาน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งไม่ดีเสมอไป ขอให้ใจกว้าง นึกถึงประโยชน์ประเทศและประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก นโยบายที่ดีและค้างอยู่จากรัฐบาลชุดที่แล้ว หากเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและเป็นที่นิยมสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิต และสร้างความสงบให้สังคมได้ก็จะนำมาสานต่อ เช่น นโยบายคนละครึ่ง เป็นโจทย์ใหญ่โจทย์แรกที่รัฐบาลต้องทำให้ได้ โดยเตรียมงบประมาณที่เล็งไว้ว่าหากใช้จากกรณีนี้ไม่ได้ก็มีการเตรียมงบอีกก้อนหนึ่งเพื่อนำมาดำเนินการ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองจริงๆ

รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือนเพื่อทำงานจึงต้องเร่งแถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่ 29 กันยายน 2568 ให้ทันต่อการผลักดันงบประมาณปี 2568 ไม่เช่นนั้นอาจทำให้บางโครงการงบประมาณตกไป ซึ่งจะกระทบต่อการดำเนินงานนโยบายสำคัญอย่าง “คนละครึ่ง” ที่ต้องเดินหน้าต่ออยู่แล้ว โดยรัฐบาลได้เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว การผลักดันงบประมาณครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกฝ่าย ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลฝ่ายเดียวถือเป็นความร่วมมือของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดในการแก้ปัญหาปากท้องและกระตุ้นเศรษฐกิจ

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามนโยบาย Quick-Big Win ฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่มุ่งผลในระยาวนั้น รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการ
“คนละครึ่ง พลัส” จะมีการปรับรูปแบบโดยคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ด้วยการให้ประชาชนที่อยู่ในระบบภาษีได้สิทธิประโยชน์มากกว่า ได้หารือนอกรอบกับนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังแล้ว ยืนยันว่า จะได้เห็นโครงการคนละครึ่ง พลัส ในเดือนตุลาคมนี้แน่นอน จะเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม 2568 โดยจะใช้งบประมาณเดิมที่มีอยู่ ส่วนวงเงินและรูปแบบอย่างไรจะหารือรายละเอียดร่วมกันอีกครั้ง

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการคนละครึ่ง พลัสแล้ว จากนั้นสัปดาห์ถัดไปจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ พร้อมกับการเปิดลงทะเบียนร้านค้า และคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้เร็วที่สุด ช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือหากไม่ทัน จะเริ่มใช้จ่ายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม 2568

ขณะที่ สำนักนายกรัฐมนตรีได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 24 กันยายน 2568 เพื่อกราบเรียนประธานรัฐสภา เรื่องการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา พร้อมแนบคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา 1 เล่ม และคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบุว่า ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายน 2568 และวันที่ 19 กันยายน 2568 บัดนี้ คณะรัฐมนตรีได้กำหนดวันที่พร้อมจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2568 เป็นต้นไป

ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เปิดเผยหลังประชุมวิป 3 ฝ่ายว่า จะมีการประชุมแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ในวันที่ 29 – 30 กันยายน เริ่มในเวลา 09.00 น. และในวันที่ 2 คณะรัฐมนตรีขอให้จบภายใน 18.00 น. เนื่องจากจะมีการประชุม ครม. นัดพิเศษ โดยแบ่งเวลา ครม. และพรรคร่วมรัฐบาล ได้เวลา 6 ชั่วโมง ไม่นับรวมนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบาย สมาชิกวุฒิสภา 3 ชั่วโมง และพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เวลาทั้งหมด 15 ชั่วโมง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง