ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 27 กันยายน 2568 (เวลา 14.00 น.) สถานการณ์โดยรวม เมื่อเวลา 12.02 น. ฝ่ายกัมพูชาได้พยายามสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดขึ้นอีกครั้งบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามายังพื้นที่ของฝ่ายไทยจากบริเวณเนิน 677 มายัง เนิน 600 และ เนิน 527 พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนเล็กยิงปะทะเป็นระยะก่อนที่สถานการณ์จะยุติลง ทั้งนี้ การปะทะจำกัดวงอยู่เฉพาะบริเวณดังกล่าว แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังควบคุมพื้นที่อย่างใกล้ชิด
ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ฝ่ายไทยได้รับแจ้งจากฝ่ายกัมพูชาว่า คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ของกัมพูชาจะเดินทางเข้าพื้นที่ช่องอานม้า กองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่าเป็นความพยายามของกัมพูชา ในการ “สร้างเงื่อนไข” และ “ยั่วยุ” ให้เกิดสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่คณะ IOT เดินทางเข้าพื้นที่ โดยในอดีตกัมพูชามักใช้กลยุทธ์ลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในครั้งนี้ยังคงดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ล่วงหน้า บริเวณฐานปฏิบัติการทางทิศใต้ ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะนำเหตุการณ์ไปใช้เผยแพร่ในเวทีนานาชาติ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าฝ่ายไทยเป็นผู้ริเริ่มการปะทะทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำเชิงยุทธวิธีที่ไม่เหมาะสมของฝ่ายกัมพูชาเอง
การใช้อาวุธยิงโจมตีในเวลากลางวัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางยุทธวิธี แสดงถึงเจตนาชัดเจน ที่จะยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้ หากฝ่ายไทยดำเนินการตอบสนองก็เสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและถูกขยายผล ในเวทีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามฝ่ายไทยยังคงควบคุมสถานการณ์ด้วยความสุขุม รอบคอบ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะตกเป็นประโยชน์ต่อการโฆษณาชวนเชื่อของกัมพูชา แต่ขอยืนยันว่ากองทัพไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างเต็มกำลังควบคู่ไปกับการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
กองทัพภาคที่ 2 ได้จัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนลงพื้นที่เพื่อช่วยประสานงาน อำนวยความสะดวก และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ ได้ว่ากองทัพจะไม่ทอดทิ้งและพร้อมยืนเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ จะติดตามความเคลื่อนไหวในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง และขอความร่วมมือจากประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร โดยติดตามเฉพาะช่องทางอย่างเป็นทางการของหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อป้องกันการเกิดความเข้าใจผิดหรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
อีกทั้ง พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 12.00–12.30 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามายังพื้นที่บริเวณช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี โดยปัจจุบัน กองกำลังสุรนารีได้เตรียมพร้อมและสั่งการให้ยิงตอบโต้ตามสถานการณ์ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวฝ่ายกัมพูชาได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวหรือ IOT กัมพูชาลงพื้นที่ตรวจสอบบ่อยครั้ง จึงคาดว่าการสร้างสถานการณ์ดังกล่าวเป็นการยั่วยุเพื่อให้ฝ่ายไทยยิงตอบโต้และเข้าโจมตีจะได้ใช้เป็นหลักฐานแจ้งต่อคณะ IOT กัมพูชา ว่าฝ่ายไทยละเมิดต่อมาตรการหยุดยิง ทั้งนี้ยังไม่ได้รับรายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตของฝ่ายไทย
หลังจากมีกระแสข่าวการยิงปืนเล็กบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ประชาชนบางส่วนเริ่มอพยพมายังศูนย์พักพิงชั่วคราว ที่ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม ซึ่งตลอดทั้งวันมีผู้อพยพจากบ้านหนองบัวพัฒนา หมู่ที่ 14 ตำบลโดมประดิษฐ์ จำนวน 92 คน มีทั้งผู้ป่วยติดเตียง คนพิการ 4 คน ผู้สูงอายุ 7 คน และเด็ก ซึ่งมากถึง 25 คน เนื่องจากมีความกังวลใจต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ โดยคาดว่าจะมีชาวบ้านทยอยอพยพมายังศูนย์พักพิงเพิ่มเติมอีก เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านได้ประชาสัมพันธ์เสียงตามสายแจ้งสถานการณ์ในพื้นที่ และก่อนหน้านี้ได้มีการแนะนำและซักซ้อมให้เตรียมข้าวของไว้ให้พร้อมตลอดเวลา ทั้งนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีประสบการณ์จากรอบที่แล้ว ทำให้มีการวางแผนและสามารถจัดเตรียมสิ่งของได้ครบถ้วน
ปัจจุบัน องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเดช ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่พยาบาล มาประจำที่ศูนย์ฯ ทำหน้าที่รับลงทะเบียน จัดเตรียมสถานที่รองรับผู้อพยพ มีประชาชนในหมู่บ้านแปดอุ้ม บางส่วนเริ่มอพยพออกจากพื้นที่ จังหวัดอุบลราชธานีได้ประกาศจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ เพื่อติดตามและบัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่แล้ว
นอกจากนี้ จากกรณีเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความกล่าวถึงเรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างไทย–กัมพูชา ในพื้นที่ จังหวัดสระแก้ว โดยในหลายประเด็นพบว่ามีการกล่าวอ้างและตอบโต้ต่อคำชี้แจงของฝ่ายไทยด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและอาจทำให้สาธารณชนเกิดความสับสน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่าข้อมูลที่สมเด็จฮุน มาเนต ออกมาเปิดเผยนั้น มีทั้งส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และมีอีกหลายส่วนที่ยังเป็นลักษณะของการกล่าวอ้างเฉพาะในมุมที่ต้องการของตัวเองฝ่ายเดียว มีลักษณะพาดพิงฝ่ายไทย จึงขอชี้แจงให้สังคมได้ทราบเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเหมาะสม ในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. การนำข้อตกลงใน MOU มากล่าวอ้างของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาสถานะเดิม จนกว่างานปักปันเขตแดนจะเสร็จสมบูรณ์ นั้น ต้องย้อนไปดูฝ่ายกัมพูชาเองว่าทำตามข้อตกลงได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมากว่า 20 ปี กัมพูชาเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ด้วยการสร้างบ้านเรือนและตั้งชุมชน ไม่เพียงเฉพาะในพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ หรือพื้นที่ที่อยู่ในกรอบเงื่อนไขข้อตกลง MOU เท่านั้น แต่ยังมีการรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตดินแดนประเทศไทย ทั้งที่พื้นที่ส่วนนี้ไม่ได้เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน
ซึ่งหากดูหลักฐานด้วยภาพถ่ายทางอากาศแล้วเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่อย่างชัดเจนจากการละเมิดของฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยได้ดำเนินการประท้วงมาแล้วมากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของ MOU ที่กำหนด แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไขจากฝ่ายกัมพูชา และในทางกลับกัน พบว่าหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย มีกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทยอย่างชัดเจน เช่น พื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีที่เข้ามาขุดคูติดต่อทางทหาร (คูเลต : แนวคูสนามเที่ขุดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่กำบัง) และเข้าพื้นที่ชุมชนในจังหวัดสระแก้ว ตามที่เกิดประเด็นความขัดแย้งในปัจจุบันซึ่งเห็นได้ชัดว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง
2. จากการกล่าวหาว่าฝ่ายไทยลากเส้นเขตแดนเอง จากพิกัดหลักเขตที่คณะกรรมการสำรวจหลักเขตร่วมทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วนั้น เขตแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวนั้น ในส่วนที่ภูมิประเทศเป็นภูเขาจะใช้สันปันน้ำเป็นตัวแบ่ง ส่วนภูมิประเทศที่เป็นลักษณะที่ราบจะใช้หลักเขตแดนเชื่อมต่อกันเป็นตัวระบุเขตแดน ซึ่งจะไม่ค่อยมีความซับซ้อน หรือต้องอาศัยองค์ประกอบงานเทคนิคด้านแผนที่ขั้นสูงอย่างที่กล่าวอ้าง อาศัยแค่ความซื่อสัตย์และจริงใจ ตรงไปตรงมา ก็สามารถหาข้อสรุปในเรื่องเขตแดนสำหรับพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพื้นราบได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะช่วยลดเวลาขั้นตอนการทำงานของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) ไทย-กัมพูชา ได้เป็นอย่างดี
โดยพิกัดหลักเขตตามแนวชายแดนทั้งหมด 74 หลักเขต ได้มีการสำรวจและบันทึกพิกัดโดยคณะกรรมการ JBC ทั้งสองประเทศเรียบร้อยแล้ว และมีเอกสารระบุไว้อย่างชัดเจน ทั้งพิกัดหลักเขตที่เห็นตรงกันและเห็นต่างกัน ในส่วนที่เห็นต่างก็กลายเป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ซึ่งตาม MOU ได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ใด ๆ ดังนั้น การที่กล่าวว่าฝ่ายไทยลากเส้นเขตแดนเองนั้นจึงไม่ถูกต้อง เพราะทางการกัมพูชาก็ทราบดีว่าหลักเขตใดอยู่พิกัดใด ส่วนเส้นตรงที่ลากเชื่อมต่อระหว่างหลักเขต เป็นเส้นอ้างอิงที่ใช้ในการกำหนดเขตแดนตามหลักการในกรณีที่พื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ราบ ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายไทยวาดเส้นเขตแดนขึ้นเองตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
ในกรณีของหลักเขตที่ 42-43 เมื่อลากเส้นตรงในแผนที่ เพื่อเชื่อมโยงตำแหน่งของหลักเขต 43 ที่คณะสำรวจของทั้งสองประเทศเห็นตรงกัน ไปยังตำแหน่งของหลักเขตที่ 42 ไม่ว่าจะเป็นในตำแหน่งที่กัมพูชากล่าวอ้าง หรือตำแหน่งที่ไทยกล่าวอ้างก็ตาม ก็จะพบว่ามีพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ซ้อนทับกันอยู่ และที่สำคัญที่สุด พื้นที่พิพาทบ้านหนองหญ้าแก้ว รวมถึงบริเวณบ้านหนองจาน ที่ฝ่ายไทยยืนยันต้องดำเนินการ ให้ชาวกัมพูชาย้ายออกไป ตามประกาศของจังหวัดสระแก้วนั้นอยู่ในเขตดินแดนไทยชัดเจน ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายได้อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันอยู่
ทั้งนี้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไม่ได้เกิดขึ้นจากประชาชนทั้งสองประเทศตามที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาพยายามจะสื่อ แต่เป็นการละเลยในการแก้ไขปัญหาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และขอย้ำว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะหาทางออกข้อพิพาทเขตแดนกับกัมพูชาด้วยแนวทางสันติวิธี ภายใต้หลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ และเคารพต่ออธิปไตยบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน จึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มที่ด้วยเช่นเดียวกัน
สำหรับการเดินหน้านำข้อมูลจริงชี้แจงนานาประเทศนั้น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภารกิจของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA80) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า นายสีหศักดิ์ ได้เข้าพบผู้แทนระดับสูงของรัฐสมาชิกต่างๆ ที่มีความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของสหประชาชาติและตอบสนองต่อผลประโยชน์ของไทยในการบริหารสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ตามแนวชายแดนในขณะนี้ โดยได้พบหารือกับนายทาเคชิ อิวายะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา โดยในการหารือในครั้งนี้ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของไทยในการเดินหน้ากลไกคณะกรรมการส่งเสริมการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา เพื่อโน้มน้าวฝ่ายกัมพูชาให้ยุติการละเมิดอนุสัญญาและกลับสู่การร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามที่ได้มีข้อตกลงกันในเรื่องนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งล่าสุด
นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งจะเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในเดือนตุลาคม 2568 เพื่อตอกย้ำการยึดมั่นในการดำเนินการอย่างสันติวิธีและแก้ไขปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยสองฝ่ายสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคี โดยไทยได้เข้าร่วมการหารือ 4 ฝ่าย ซึ่งเป็นข้อเสนอของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้มีการหารือร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ไทย และกัมพูชา เพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และข้อตกลงจาก GBC นำไปสู่ผลอันเป็นรูปธรรม การดำเนินการดังกล่าวนับเป็นก้าวแรกของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างสองประเทศ








