ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ พร้อมมอบถุงยังชีพ เสบียงอาหารสัตว์ ชุดเวชภัณฑ์ ปัจจัยการผลิตทางการเกษตร และโฉนดเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน ส.ป.ก. 4-01 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทั้งด้านความเป็นอยู่และการทำการเกษตร ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ต.สามง่าม อ.สามง่าม จ.พิจิตร (ส.ป.ก. 4-01 หนังสืออนุญาตให้เกษตรกรใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยไม่สามารถซื้อขายหรือจำนองได้)
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ตั้งแต่ต้นน้ำภาคเหนือจนถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้หลายจังหวัดตั้งแต่สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อยุธยา ไปจนถึงกรุงเทพฯ ต้องเผชิญความเสียหาย จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงได้มอบหมายกรมชลประทานเตรียมความพร้อมทั้งแผนการดำเนินงานและการปฏิบัติ รวมถึงการวางแผนระยะยาวอย่างยั่งยืน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยเน้นการสร้างแหล่งเก็บกักน้ำทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง การปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำ การซ่อมแซมประตูระบายน้ำ และการวางแผนระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเดือดร้อนซ้ำซาก นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องการช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค ยารักษาโรค และอาหารอย่างทั่วถึง รวมถึงจัดระบบการแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันท่วงที พร้อมทั้งกำชับให้เร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบโดยเร็วที่สุด
จากนั้น ได้ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยม ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงทั้งน้ำหลากและภัยแล้ง พร้อมประกาศความสำเร็จโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำท่าแห อ.สามง่าม จ.พิจิตร ที่แล้วเสร็จสมบูรณ์ 100% ในปี 2567 ใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท โดยเตรียมส่งมอบให้โครงการชลประทานพิจิตรบริหารจัดการต่อไป ทั้งนี้ ประตูระบายน้ำท่าแหสามารถเก็บกักน้ำได้ 12.60 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 81,111 ไร่ ใน 6 ตำบล อ.บางระกำ และ 1 ตำบล อ.สามง่าม จ.พิจิตร และช่วยสนับสนุนน้ำอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนกว่า 1,400 ครัวเรือน ถือเป็นก้าวสำคัญของ “บางระกำโมเดล” ในการลดความเสี่ยงน้ำท่วม–ภัยแล้งและเสริมความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ ยังติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านวังจิก ต.วังจิก อ.โพธิ์ประทับช้าง ซึ่งมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 52% เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถกักเก็บน้ำได้กว่า 4.10 ล้าน ลบ.ม. เพื่อใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภค ครอบคลุมพื้นที่กว่า 37,397 ไร่ ใน 6 ตำบล 3 อำเภอของจังหวัดพิจิตร โดยกำชับให้กรมชลประทานเร่งรัดงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ลดผลกระทบจากน้ำท่วม และแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ต่อไป
ด้านศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่โรงเรียนกำแพงดินพิทยาคม อ.สามง่าม เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจครู นักเรียน และผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พร้อมรับฟังปัญหาการเดินทางและอุปกรณ์ โดยยืนยันจะเร่งจัดหารถรับส่งและมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม พร้อมมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตนักเรียนในพื้นที่ประสบอุทกภัย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์อุทกภัย ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ ลำปาง อำนาจเจริญ หนองบัวลำภู อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม ฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี จำนวน 71 อำเภอ 413 ตำบล 2,247 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 82,222 ครัวเรือน 269,351 คน มีผู้เสียชีวิต 7 ราย (พิษณุโลก 1 ราย เพชรบูรณ์ 1 ราย พิจิตร 1 ราย พระนครศรีอยุธยา 4 ราย)
ขณะที่ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ติดตามสภาพอากาศจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “บัวลอย” ที่จะขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบนวันที่ 29 ก.ย. 2568 และอ่อนกำลังลง แต่จะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วง 29–30 ก.ย. โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขณะเดียวกันทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2–3 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองอาจสูงเกิน 3 เมตร
- พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ได้แก่
- ภาคเหนือ จำนวน 17 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และอุทัยธานี
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อำนาจเจริญ นครราชสีมา และอุบลราชธานี
- ภาคกลาง จำนวน 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และประจวบคีรีขันธ์
- ภาคใต้ จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และสตูล
- พื้นที่เฝ้าระวังคลื่นลมแรง
- ภาคใต้ จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่
ด้านกรมชลประทานประเมินว่า ร่องมรสุมกำลังแรงที่พาดผ่านภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ทำให้หลายพื้นที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยามีฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและลำน้ำสาขาสูงขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยเสริมจากพายุไต้ฝุ่น “บัวลอย” ที่อาจกระทบสถานการณ์น้ำในระยะต่อไป จึงปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจาก 2,100 เป็น 2,200 ลบ.ม./วินาที ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. และจะคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง เพื่อรองรับปริมาณน้ำจากตอนบนและฝนที่ยังตกในหลายพื้นที่ โดยคาดว่าพื้นที่นอกคันกั้นน้ำด้านท้ายเขื่อนที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ คลองโผงเผงและวัดไชโย อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง, คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา, ต.ลาดชิด และ ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา, วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี, อ.เมือง และ อ.พรหมบุรี รวมถึงวัดเสือข้าม จ.สิงห์บุรี และ ต.โพนางดำ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท
ทั้งนี้ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง กำชับให้จังหวัดและศูนย์ ปภ. เขตในพื้นที่เสี่ยง เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ติดตามปริมาณฝนและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเสี่ยงให้สั่งปิดทันที พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง ด้านชายฝั่งให้ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำและแจ้งเตือนเรือทุกประเภทเดินเรือด้วยความระมัดระวัง หากจำเป็นอาจห้ามเรือออกจากฝั่งโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ให้เตรียมเครื่องจักร รถปฏิบัติการ และเจ้าหน้าที่ ERT เพื่อช่วยเหลือประชาชนทันที พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
ขอให้ประชาชนติดตามประกาศเตือนภัยจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง ผ่านแอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทั้งระบบ iOS และ Android รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ของกรม ปภ. (Facebook:กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM, X: @DDPMNews) หากได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ที่ Line ID: @1784DDPM หรือสายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง