“ศุภจี” มอบ 7 นโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ วางรากฐานการค้า–ส่งออก ดูแลเกษตรกร SME ใช้เทคโนโลยีเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ว่า ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัดรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการต้องวางรากฐานของประเทศ การขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน รัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ เพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับประชาชน โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ได้แก่

  1. สร้างรายได้ ลดรายจ่าย ให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน 
  2. แก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)  
  3. เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย
  4. ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว การปราบปรามการฉ้อโกงและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว การจัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทยหันกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 การดึงดูดชาวต่างชาติให้พำนักในประเทศไทยระยะยาวและเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น
  5. เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า โดยจัดตั้งทีมไทยแลนด์ เพื่อยกระดับการค้าเสรีกับคู่ค้าเดิม และดำเนินการเชิงรุกในการเปิดตลาดใหม่เพิ่มขึ้น ดูแลและสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา และสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัยและเอื้อต่อการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ประจำสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้นและระยะยาว โดยได้มอบ 7 นโยบายสำคัญ ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยย้ำว่า “การทำงานของกระทรวงต้องยึดหลัก ร่วมมือ–โปร่งใส–ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด”

นางศุภจี กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29–30 กันยายน 2568 กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 7 เรื่องหลักที่จะเร่งดำเนินการ และการร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายในวันนี้ ไม่ใช่เพียง Quick Win แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและพี่น้องประชาชน ดังนี้

1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า

เร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐอเมริกา ภายในเดือนธันวาคม 2568 โดยปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Certificate of Origin (C/O) ให้เป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์การปลอมแปลงหนังสือรับรองของถิ่นกำเนิดสินค้าและเพิ่มความโปร่งใส โดยปัจจุบันได้ผลชัดเจน เช่น จากที่เคยพบเอกสาร C/O ปลอมแปลงหลักร้อยกรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี 2567 และไม่พบในปี 2568 นอกจากนี้ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) ที่เคยใช้เวลา 12–18 เดือน เหลือเพียง
9 เดือน ด้วยการนำ AI มาช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจะช่วยให้การเข้าสู่การไต่สวนร้องเรียนการทุ่มตลาดของผู้ประกอบการไทยทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ถือเป็น Quick Win ที่ช่วยผู้ประกอบการไทยโดยตรง

2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา

ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ ทั้งการจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาทต่อชิ้นร่วมกับไปรษณีย์ไทยเพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย การเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และการเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดประสานงานใกล้ชิดกับประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

3. FTA และบุกตลาดใหม่

ไทยมี FTA (Free Trade Agreement) 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ ได้แก่ FTA ไทย–เอฟตา ให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งแรกปี 2569 FTA ไทย–อียู ให้ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาสแรกปี 2569 FTA
ไทย–เกาหลีใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2568 ขณะเดียวกันจะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลก หาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยเน้นการจับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย และจัดกิจกรรมเจรจาการค้ารูปแบบใหม่

ขณะที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยความสำเร็จของโครงการ “Special Task Force: STF” ซึ่งโครงการนี้ช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่สามารถสร้างมูลค่าคำสั่งซื้อกว่า 3,028.56 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เกือบ 2 เท่า ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการกระจายรายได้ลงสู่อุตสาหกรรมและช่วยพยุงการจ้างงานในห่วงโซ่อุปทานของประเทศ โดย DITP ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย คัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เป็นตลาดศักยภาพใหม่ใน 4 ภูมิภาค โดยการจัดคณะผู้แทนการค้า 5 คณะ ครอบคลุมสินค้าเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ตั้งเป้าผู้ประกอบการ 179 ราย คาดว่าจะได้คำสั่งซื้อราว 1,600 ล้านบาท แต่ผลลัพธ์จริงทะลุเป้ากว่า 3,000 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จสูงมาก สำหรับช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2568 DITP เตรียมบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมอีก 3 คณะ คาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มกว่า 190 ล้านบาท และเสริมความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว ได้แก่

1) จีนตะวันตก (เฉิงตู ฉงชิ่ง สิบสองปันนา) กลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง

2) อาเซียน (เวียดนาม) กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก

3) อินเดีย (มุมไบ) กลุ่มสินค้าและบริการเพื่อสิ่งแวดล้อม

4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน

เดินหน้าจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งต่อปี ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งที่ลงนาม MOU กับกระทรวงพาณิชย์ ให้เปิดเผยราคายาก่อน
ชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล และควบคุมราคาเวชภัณฑ์จำเป็น  คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละด้านลงได้กว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี และทำให้โรงพยาบาลรัฐ
ลดความแออัดลง โรงพยาบาลเอกชนก็จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น

5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร

โดยเฉพาะข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตกว่า 21.8 ล้านตัน และมีสต๊อกคงเหลือกว่า 3.5 ล้านตัน กระทรวงจะใช้มาตรการชะลอการขายด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การให้สหกรณ์เก็บสต๊อก การช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน และเร่งการส่งออกทั้งแบบ G to G (การซื้อขายรัฐบาลต่อรัฐบาล)   กับ จีน เพิ่มจาก 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน และการเจรจา MOU กับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตาข้าวไทย นอกจากนี้ยังเตรียมผลักดันการปรับตัวของเกษตรกรสู่การปลูกพืชคุณภาพสูง (เช่น GI และพืชที่ตลาดต้องการ) เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันโลกและสภาพภูมิอากาศ

6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย

สนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา) พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ การใช้เครื่องหมายรับรองคุณภาพ เช่น Thailand Trust Mark และ Thai SELECT รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์ม “MOC+” เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้ SMEs เข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐได้ง่ายขึ้น

7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมถึงการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์อุปสงค์–อุปทานของสินค้า เพื่อให้มาตรการทางการค้าทันต่อสถานการณ์ และขยายช่องทาง E-Commerce สำหรับสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดสากล ผลักดันให้นำสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรหรือสินค้าทั่วไป ขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มทั้งในและนอกประเทศ ให้องค์กรภาครัฐและเอกชน ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มร้องเรียน MOC Fondue ของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้นและดำเนินการอย่างครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง