นายกรัฐมนตรี สนับสนุนกองทัพเต็มที่ ย้ำจุดยืนรักษาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก

จากข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยนายอนุทิน สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย ทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการจ่าย และวงเงินช่วยเหลือ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ได้อย่างครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ โดยเร็ว เนื่องจากหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่าย รวมทั้งวงเงินช่วยเหลือดังกล่าว ยังมีข้อจำกัดบางประการ ส่งผลให้การจ่ายเงินช่วยเหลือ ยังไม่ครอบคลุมประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง

นายอนุทิน กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณเพื่อสนับสนุนกองทัพในการเตรียมความพร้อมรับมือ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ขณะที่ยังคงยึดหลักมนุษยธรรมกับแรงงานข้ามชาติ โดยผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของไทยจะได้รับโอกาสในการทำงานอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่า นายจ้างต้องดูแลแรงงานตามมาตรฐานกฎหมายแรงงาน และคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของแรงงานเป็นสำคัญ

สำหรับความคืบหน้ากรณีที่กัมพูชายื่นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ หรือที่มักเรียกกันว่าศาลโลก) ให้พิจารณาพื้นที่ข้อพิพาทกับประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 นั้น ตนเองไม่ทราบ กัมพูชาจะไปยื่นอะไรเป็นสิทธิ์ของกัมพูชา ซึ่งเรามีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน และจะยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา ที่ใกล้จะหมดวาระ จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะมีวาระการแต่งตั้งประธาน JBC ด้วย

นายอนุทิน ยังได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการมอบนโยบายข้าราชการตำรวจถึงกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าขณะนี้ได้ทำงานควบคู่ไปกับกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งเรื่องการทูต การตั้งเงื่อนไข และจุดยืนของประเทศไทย ส่วนการดูแลอธิปไตยและอาณาเขตของไทย ได้หารือกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งยังมีการหารือใกล้ชิดกับผู้บัญชาการทหารบก เสนาธิการทหารบก โดยได้ให้คำยืนยันกับทุกคนในด้านการทหารและเหล่าทัพ ว่ารัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ รวมถึงตำรวจด้วย ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกให้คำมั่นว่า ไทยจะไม่เสียเปรียบ จะรักษาอธิปไตย และทำในสิ่งที่ต้องทำ และทำในสิ่งที่ประชาชนชาวไทยจะไม่ผิดหวัง

ส่วนเรื่อง MOU 2543-2544 เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาแล้ว แต่จะไปถึงประชามติว่าควรจะยกเลิกหรือไม่ มีขั้นตอน และขอทำความเข้าใจว่าไม่ได้เป็นการโยนภาระให้ประชาชน มองว่าเรื่องใดที่มีความคิดแตกต่างกัน และไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อน หากให้ประชาชนมีส่วนร่วม สามารถแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้ แต่หากมีการศึกษาออกมาแล้ว รัฐบาลนำมาพิจารณาแล้วว่าไม่เป็นประโยชน์กับประเทศ ก็พร้อมที่จะยกเลิก

ขณะที่พฤติกรรมของกัมพูชาจะถือว่าเป็นภัยคุกคามหรือไม่นั้น ก็ต้องระวังตลอด ซึ่งกองทัพและตำรวจ มีข้อสรุปที่ชัดเจน จากการประชุม 4 เหล่าทัพ ว่าจะดำรงสภาพนี้ทั้งเรื่องของการเตรียมพร้อม จุดยืนจนกว่าความเป็นภัยของประเทศกัมพูชาจะหมดไปต่อประเทศไทย และรัฐบาลก็ยึดถือกรอบนี้ เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของฝ่ายความมั่นคงใน 4 เหล่าทัพ ย้ำว่าจากพฤติกรรมของกัมพูชาที่แสดงต่อทั่วโลก ไทยจะระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่

กรณีมีเสียงปืนยิงเข้ามาฝั่งไทย ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่าจากการตรวจสอบขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืนเล็กหรือเครื่องยิงลูกระเบิด และจะเห็นได้ว่าในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาพยายามเน้นการสื่อสารไปยังสังคมโลก เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย จึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เข้าเงื่อนไขของทางกัมพูชาที่จะนำไปใช้ในเวทีสังคมโลก นอกจากนี้ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับ พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อมอย่างสูงสุด ดูแลกำลังพล รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนอดกลั้น

ส่วนความเป็นไปได้ที่ฝ่ายกัมพูชา จะใช้วิธีการยั่วยุสร้างสถานการณ์ ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย ในเดือนตุลาคมนี้ ต้องติดตามสถานการณ์วันต่อวัน และพิจารณาหลายองค์ประกอบ รวมถึงกรณีที่สังคมตั้งคำถามถึงการยกเลิก MOU 2543 นั้น ต้องพิจารณาหลายส่วน ที่ผ่านมาพบการละเมิดกว่า 500 ครั้ง ไทยก็ทำหนังสือประท้วง แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขอย่างจริงจัง ส่วนถ้ายกเลิก จะส่งผลต่อการทำงานของกองทัพหรือไม่นั้น ยืนยันว่ากองทัพสามารถทำงานได้ทุกสถานการณ์ ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงที่มีอยู่

ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2568 (เวลา 14.00 น.) สถานการณ์โดยรวม มีการตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา โดยตรวจพบโดรนบริเวณพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 1 ลำ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทย จัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 2 ขอความร่วมมือจากประชาชน เพื่อป้องกันการรับข้อมูลข่าวสารที่คลาดเคลื่อน บิดเบือน หรือข่าวปลอม (Fake news) ขอให้ประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสารและติดตามข้อมูลจากช่องทางอย่างเป็นทางการจากส่วนราชการ ซึ่งสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องและทันเวลา

ทางด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บรรยายสรุปแก่คณะทูตานุทูต เกี่ยวกับผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 (United Nations General Assembly : UNGA) และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เนื่องจากรัฐบาลจะยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังจากที่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ในเวลา 4 เดือนจะใช้ทุกวันให้เป็นประโยชน์ จึงเชิญคณะทูตมาพูดคุยว่าในช่วงที่ตนเองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการอย่างไร เราอยากจะเห็นการทูตที่นำประเทศไทยกลับสู่จอเรดาร์ การทูตที่ครอบคลุมหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการทูตที่ไปหลายทิศทาง

จากการร่วมประชุม UNGA 80 ได้พบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เช่น นายทาเคชิ อิวายะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ในฐานะประธานอนุสัญญาออตตาวา ได้เล่าให้เขาทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ไทยก็ทำเรื่องร้องเรียนไปท่านรับทราบ เนื่องจากจะมีการประชุมใหญ่ในเดือนธันวาคมนี้ เราคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดและสร้างสรรค์ที่สุด คือการเร่งในเรื่องที่ตกลงกันในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) เรื่องการเก็บกู้ระเบิดร่วมกัน นอกจากนี้ยังได้พบกับ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งได้ชี้แจงให้ทราบว่าเรากำลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระดับทวิภาคี มีความคืบหน้าและอยากจะให้มีการเดินหน้าต่อไป เราไม่คิดว่าการนำเอาปัญหาสถานการณ์ปัจจุบันของไทยและกัมพูชาไปสู่เวทีระหว่างประเทศ จะเป็นการช่วยแก้ปัญหา

นอกจากนี้ ยังได้พบกับนายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้สรุปให้ทราบถึงความคืบหน้าล่าสุดและความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งได้ยืนยันว่าไทยต้องการอยู่อย่างสันติกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ เราต้องการให้ประเทศเพื่อนบ้านก้าวหน้า เพราะความก้าวหน้าของเขาจะเป็นผลประโยชน์ต่อประเทศไทยด้วย เรื่องสำคัญคือถ้อยแถลงของตนเองในที่ประชุม UNGA80 ที่เกี่ยวกับไทย-กัมพูชา อยากให้เห็นว่าไทยไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร และไม่ควรจะเป็นศัตรูกัน เราพร้อมที่จะคุยเจรจาแก้ไขด้วยสันติวิธี แต่ต้องมีพื้นที่สำหรับการพูดคุยที่มีความจริงใจระหว่างกัน แต่พื้นที่นี้ยังไม่เปิด แน่นอนว่าเราต้องรักษาอธิปไตย ความปรารถนาของไทยคืออยากให้มีการพูดคุย ค่อยๆ หาทางเดินหน้าในความสัมพันธ์ และได้พบกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เราได้พูดกันว่าเราเป็นนักการทูต ต้องมีการพูดคุย ไม่ได้เป็นอุปสรรค เราต้องทำความเข้าใจ ตรงไหนที่ทำความเข้าใจได้ก็ดี ขณะที่สหรัฐอเมริกาจัดประชุม 4 ฝ่ายก็เป็นเจตนารมณ์ต้องขอบคุณสหรัฐฯ ที่จัดประชุมดังกล่าว แต่มีเวลาน้อย ตนเองยืนยันว่าอยากให้การประชุมสะท้อนถึงความพยายามที่ไทยพูดคุยเดินหน้าทำให้บรรยากาศของความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นก็มีการกล่าวหาประเทศไทยก่อน ที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงและไม่สะท้อนในสิ่งที่เคยพูดคุยกันไว้ จึงต้องมีการปรับถ้อยแถลงเพื่อให้เห็นว่าประเทศไทยมีเจตนาอย่างไร ที่ผ่านมา เราช่วยกัมพูชามาโดยตลอด ไม่ได้เป็นการทวงบุญคุณ ช่วงที่เขาเจอปัญหาภายใน เราก็รับผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดน เราช่วยเจรจาสันติภาพระหว่างกัมพูชาฝ่ายต่าง ๆ พยายามช่วยเขาฟื้นฟูประเทศ เรามีความปรารถนาที่ดี เหตุการณ์ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่ไทยปรารถนา ดังนั้น จึงต้องมีการทำงานร่วมกันต้องหาจุดว่าจะกลับสู่สภาวะปกติอย่างไร

กรณีที่รัฐบาลจะทำประชามติสอบถามประชาชน ถึงการยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา เป็นไปตามที่แถลงคือให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ซึ่งนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้พูดไปแล้วในเบื้องต้นถึงวิธีการส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมด ว่าเนื้อหาของ MOU เป็นอย่างไรและมีไว้เพื่ออะไร ซึ่งอยากให้ประชาชนตัดสินใจโดยมีข้อมูล ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรเราก็เคารพ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ จึงอยากให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม

ส่วนการฟื้นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา มองว่าต้องมีความจริงใจต่อกันที่จะหาทางคลี่คลาย ก้าวข้ามความขัดแย้ง และเรามีการดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และคิดว่าการปรับความสัมพันธ์ก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติ ตราบใดที่มีความจริงใจ มีเจตนารมณ์ที่จะเดินหน้า อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญ คือสถานการณ์ชายแดนขณะนี้ไม่ปกติ อันดับแรกจะต้องทำอย่างไรให้สถานการณ์ชายแดนมีความปลอดภัยสงบ ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง