นายกฯ สั่งการเร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทันที หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 และจากการลงพื้นที่ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จัดสรรค่าดำรงชีพเบื้องต้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้การช่วยเหลือมีความรวดเร็ว มีเอกภาพ และไม่ซ้ำซ้อน พร้อมให้ทุกหน่วยงานส่งมาตรการช่วยเหลือเข้าสู่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.) เพื่อพิจารณารวม ก่อนเสนอต่อ ครม. พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) และจัดตั้ง ศชภ. เพื่อวางมาตรการช่วยเหลือพื้นที่รับน้ำซ้ำซากเป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาเป็นการเฉพาะ ไม่ต้องมาตั้งเรื่องขอเป็นครั้งๆ ปีต่อปี พร้อมกำชับให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการและช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ ยังสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยสั่งให้จังหวัดเตรียมพร้อมทั้งก่อน–ขณะ–หลังเกิดเหตุ และสามารถรายงานตรงต่ออธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ พร้อมเปิดช่องทางแจ้งเหตุผ่านไลน์ “ปภ. รับแจ้งเหตุ” และสายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนผ่าน Cell Broadcast หากสถานการณ์มีแนวโน้มกระทบต่อพื้นที่

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายให้แก่ข้าราชการและผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะนโยบายการจัดการน้ำเชิงรุก โดยให้กรมชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ครอบคลุมการป้องกันน้ำท่วม แก้ภัยแล้ง และเติมน้ำในเขื่อน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูการผลิต เน้นย้ำให้รายงานอุปสรรคด้านกฎหมายหรือข้อจำกัดในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและผลักดันให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ระบุว่า ผลกระทบจากอิทธิพลพายุบัวลอยมั่นใจว่าสามารถควบคุมได้ ส่วนปริมาณน้ำเหนือจากแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน รวมถึงการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ต้องควบคุมอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับจังหวัดท้ายเขื่อน เช่น สุโขทัย พิจิตร และพิษณุโลก

ขณะที่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยหลังการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำว่า ช่วงนี้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกประปราย แต่ปริมาณลดลงจากที่ผ่านมา จึงถือเป็นโอกาสในการพร่องน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ที่มีระดับน้ำใกล้เต็มความจุ เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อนและป้องกันผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำ ขณะเดียวกัน กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดว่า หย่อมความกดอากาศต่ำจะทำให้ฝนกลับมาตกเพิ่มขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงวันที่ 5–7 ต.ค. นี้ แม้จะมีปริมาณ 60–100 มิลลิเมตร ซึ่งน้อยกว่าระลอกก่อน แต่ยังต้องเตรียมพร้อมรองรับน้ำอย่างรอบคอบ

ที่ประชุมมีมติให้เพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์แบบขั้นบันไดจาก 15 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วัน เป็น 25 ล้าน ลบ.ม./วัน ส่วนเขื่อนภูมิพลซึ่งยังมีปริมาณกักเก็บเหลือกว่า 2,000 ล้าน ลบ.ม. ให้ลดการระบายน้ำจาก 10 ล้าน ลบ.ม./วัน เหลือ 5 ล้าน ลบ.ม./วัน โดยกำหนดให้อัตรารวมของทั้งสองเขื่อนไม่เกิน 30 ล้าน ลบ.ม./วัน พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบด้านท้ายน้ำให้มากที่สุด

สำหรับเขื่อนเจ้าพระยา ได้ปรับการระบายน้ำเพิ่มเป็น 2,400 ลบ.ม./วินาที โดยควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนไม่ให้เกิน +17.00 เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะลำน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ที่มีระดับน้ำสูงขึ้น กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะร่วมกันกำหนดแนวทางบริหารเขื่อนอุบลรัตน์เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชน

นอกจากนี้ สทนช. ได้ประสานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเตรียมพร้อมรับมือฝนที่จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีความเสี่ยงสูง คาดว่าปริมาณฝนจะลดลงในช่วงปลายเดือนตุลาคม และแม้ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังอยู่ในระดับเฝ้าระวัง แต่จากการใช้แผนบูรณาการเต็มรูปแบบและมีการพร่องน้ำล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำ 710 ล้าน ลบ.ม. (74%) ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง 510 ลบ.ม./วินาที (44 ล้าน ลบ.ม./วัน) และมีการระบายน้ำ 600 ลบ.ม./วินาที (52 ล้าน ลบ.ม./วัน) ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนฯ มีแนวโน้มคงที่และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม และลดปริมาณน้ำที่จะไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงลดผลกระทบด้านท้ายเขื่อนฯ จะปรับลดการระบายน้ำจาก 600 เป็น 500 ลบ.ม./วินาที โดยทยอยลดแบบขั้นบันไดวันละ 50 ลบ.ม./วินาที ตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค. เป็นต้นไป ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักจะลดลงประมาณ 0.30–0.50 เมตร แต่ยังไม่เกิดสภาวะน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ตลิ่งต่ำ

ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 68 ได้ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS True และ NT ส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนผ่าน Cell Broadcast แจ้งเตือนน้ำท่วม/ดินถล่ม อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่, อำเภอเมืองฯ อำเภอตะพานหิน อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร, อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์, อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากระดับน้ำแม่น้ำน่าน ที่ตำบลพลายชุมพล อำเภอเมืองพิษณุโลก และในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองพิจิตร พบว่าระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องขอให้ผู้อาศัยอยู่ริมแม่น้ำน่าน/พื้นที่ลุ่มต่ำ/พื้นที่เสี่ยงบริเวณชุมชนหลังสถานีรถไฟ ชุมชนปากคลองท่าหลวง อำเภอเมืองฯ ได้ติดตามสถานการณ์ หากมีความต้องการอพยพไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ขอให้จัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นโดยให้อพยพไปที่โรงเรียนเทศบาลบ้านปากทาง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 68 เป็นต้นไป นอกจากนี้ จังหวัดยังคงดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ได้แก่

จังหวัดอุตรดิตถ์ นายพชรเสฏฐ์ บุญศิริสาริศา รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ประชุมติดตามและวางมาตรการรับมืออุทกภัยในพื้นที่ โดยสถานการณ์ภาพรวมเริ่มคลี่คลาย ได้แก่ อำเภอทองแสนขัน น้ำลด เจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาดบ้านเรือนกว่า 4,000 ครัวเรือน มีรถน้ำสนับสนุนในพื้นที่หมู่บ้านผักขวงและป่าคาย อำเภอตรอนน้ำลด เหลือความเสียหายกว่า 2,800 ครัวเรือน พื้นที่เกษตร 1,000 ไร่, อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เสียหายราว 1,750 ครัวเรือน ระดับน้ำลด แต่พื้นที่ริมน้ำน่านยังต้องเฝ้าระวัง อำเภอพิชัย น้ำท่วม 9 ตำบล เขตเทศบาลน้ำสูง 1.50 เมตร ตั้งศูนย์พักพิง “1 ตำบล 1 ศูนย์พักพิง” พร้อมโรงครัวและเรือท้องแบนช่วยขนย้ายผู้ประสบภัย และอำเภอน้ำปาด สถานการณ์คลี่คลาย โดยตำบลน้ำไคล้ได้รับผลกระทบหนักสุด มีทหารและจิตอาสาช่วยต่อเนื่อง

จังหวัดนครสวรรค์ สถานีวัดน้ำ C.2 อ.เมือง มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,736 ลบ.ม./วินาที ขณะที่สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำเหนือเขื่อน 16.35 เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ท้ายเขื่อน 15.52 ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง 82 ซม. ระบายน้ำ 2,323 ลบ.ม./วินาที และผันเข้าระบบชลประทาน 436 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้จุดวัด C.3 บ้านบางพุทรา จังหวัดสิงห์บุรี มีน้ำผ่าน 2,424 ลบ.ม./วินาที ด้านชุมชนท้ายเขื่อน ตำบลโพนางดำออก อำเภอสรรพยา ระดับน้ำปริ่มตลิ่ง ชาวบ้านบางส่วนเพียง 3 ครัวเรือน ขนของขึ้นริมถนนคันคลองมหาราช ขณะที่ส่วนใหญ่ยังพักอาศัยในบ้านตามปกติ เทศบาลได้ทำแนวกั้นน้ำ ด้วยคันดินและกระสอบทราย นายมนตรี คุ้มเขตร์ นายกเทศมนตรีฯ ย้ำยังไม่มีคำสั่งอพยพ ผู้ที่ย้ายออกเป็นกรณีเฉพาะ เช่น ครอบครัวมีผู้พิการหรือร้านค้าที่เตรียมรับสถานการณ์ล่วงหน้า

จังหวัดอุบลราชธานี ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 13 อุบลราชธานี ได้ส่งเครื่องจักรกลและเจ้าหน้าที่สนับสนุนการแก้ไขอุทกภัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อเนื่อง โดยในจังหวัดอุบลราชธานี ดำเนินการสูบน้ำท่วมผิวจราจรและที่อยู่อาศัยในเทศบาลเมืองวารินชำราบ พร้อมเครื่องสูบน้ำ 31,500 ลิตร/นาที จำนวน 3 เครื่อง, เครื่องสูบน้ำ 50,000 ลิตร/นาที จำนวน 1 เครื่อง, เครื่องสูบน้ำ 28,000 ลิตร/นาที จำนวน 1 เครื่อง, รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย 3 คัน รวมทั้งเรือท้องแบนและรถเคลื่อนย้ายช่วยอพยพประชาชนและสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี และอำเภอสว่างวีระวงศ์ ส่วนอำเภอดอนมดแดง ดำเนินการกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำด้วยรถขุดตักไฮโดรลิก 1 คัน

จังหวัดศรีสะเกษ ดำเนินการสูบน้ำท่วมผิวจราจรถนนราษฎร์บูรณะใน 2 ชุมชน อำเภอกันทรารมย์ ด้วยเครื่องสูบน้ำท่อส่ง 14 นิ้ว จำนวน 3 เครื่อง รถบรรทุกติดตั้งปั้นจั่น 2 คัน และรถบรรทุกขนาดเล็ก 2 คัน พร้อมเตรียมรับมือปัญหาน้ำท่วมในเทศบาล ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย

ขณะที่พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก แสดงความห่วงใยต่อประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และสั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1–3 เข้าช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการบรรจุกระสอบทราย ทำแนวป้องกันน้ำ ขนย้ายสิ่งของ อพยพประชาชน แจกถุงยังชีพ จัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ และสนับสนุนการตั้งศูนย์พักพิง พร้อมจัดรถครัวสนามดูแลปัจจัยยังชีพ ทั้งนี้ หากต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อหน่วยทหารใกล้บ้าน หรือศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบกได้ตลอด 24 ชั่วโมง

  • ส่วนกลาง/กทม. โทร. 02-297-7648–9
  • กองทัพภาคที่ 1 (ภาคกลาง) โทร. 02-280-3977
  • กองทัพภาคที่ 2 (อีสาน) โทร. 044-245-946
  • กองทัพภาคที่ 3 (เหนือ) โทร. 055-242-859
  • กองทัพภาคที่ 4 (ใต้) โทร. 075-383-405

ข่าวที่เกี่ยวข้อง