นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 12/2568 ณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล โดยได้กล่าวถึงการพิจารณาอนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการจัดทำรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ยังต้องรอรายละเอียดจากกองบัญชาการกองทัพไทยอีกครั้ง ซึ่งจะต้องคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศ ความสะดวกของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงผลกระทบด้านกฎหมายและสังคม โดยให้ สมช. แถลงเพิ่มเติมในรายละเอียดต่อไป
ทั้งนี้ย้ำว่านโยบายรัฐบาลยึดหลักการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง เป็นธรรม และต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมด้วย รวมถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา จะใช้กฎหมายใด จะใช้ตามกฎอัยการศึก กฎหมายป่าไม้ หรือกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการกองทัพไทย จะต้องหารือกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งต้องรับฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่ไม่ให้กระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ พร้อมย้ำว่า การดำเนินการใดๆ ต้องมีการเจรจาควบคู่กัน โดยกัมพูชาจำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ไทยกำหนดไว้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
กองทัพไทยจะปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ และให้เตรียมความพร้อมต่อเนื่องตามมติที่ประชุมที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินนโยบายของไทยจะควบคู่ไปกับบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ ไทยยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่ฝ่ายที่เป็นผู้คุกคาม แต่เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องประเทศ และขอย้ำว่ารัฐบาลมีการสื่อสารและหารือกับหลายฝ่าย เพื่อผลักดันสถานการณ์ให้เดินหน้าไปในทิศทางที่สร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมให้ความร่วมมือ และหากทั้งสองประเทศมีความจริงใจที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ไทยได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้นายอนุทิน จะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา การเยียวยาและให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบที่จังหวัดสุรินทร์ ในวันที่ 3 ตุลาคม 2568 และจังหวัดบุรีรัมย์ วันที่ 4 ตุลาคม 2568
ด้านนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า จากการประชุม สมช. ถึงสถานการณ์การแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ได้เห็นชอบมาตรการที่ต่อเนื่องจากมติเดิม ทั้งมาตรการ ด้านการทหาร ชายแดน การคุมคน และสินค้าต่าง ๆ ยังดำเนินการอยู่ และจะพยายามสร้างเอกภาพให้มีการสื่อสารในเรื่องดังกล่าวด้วย ส่วนเรื่องการต่างประเทศจะมีการใช้การทูตเชิงรุก
ส่วนประเด็นเพิ่มเติม มีมาตรการเยียวยา ที่จะให้ครอบคลุมกลุ่มที่อาจจะตกหล่นไป คือ ผู้เสียชีวิตทางอ้อม ที่อาจเกิดจากความเครียด ความกดดัน และนำไปสู่การฆ่าตัวตายเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าว ได้มีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ สมช. ไปหารือเพิ่มนิยามความหมายเพื่อจะได้ดูแลคนเหล่านี้ รวมถึงมีการมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดูเรื่องการช่วยเหลือครัวเรือนที่มีมากกว่า 2,000 ครัวเรือน ซึ่งได้มีการมอบหมายไปด้วย
สำหรับเรื่องการจ่ายเงินเยียวยา นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน สั่งการเร่งจ่ายเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยัน ประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด จำนวน 315,476 ครัวเรือน ได้รับเงินเยียวยาแน่นอน ตามเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยา นอกจากนี้ ยังห่วงกังวลถึงกลุ่มคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ อาทิ ประชาชนที่รักษาพื้นที่ ไม่ได้อพยพออกมา โดยสั่งการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ไปพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการจ่าย และวงเงินช่วยเหลือ ให้ได้รับเงินเยียวยาอย่างครอบคลุม โดยถือว่าการบรรเทาทุกข์และความเดือดร้อนของประชาชน เป็นภารกิจสำคัญ ที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเข้าไปดูแลช่วยเหลือเยียวยาอย่างเต็มที่
ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เดินหน้าเยียวยาผู้ประสบภัย กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 โดยให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบภัยที่มีการอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัย ในช่วงที่มีสถานการณ์ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. กรณีอพยพตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 บาท และ 2. กรณีอพยพไม่เกิน 7 วัน ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 2,000 บาท และได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ จำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด รวมจำนวน 315,476 ครัวเรือน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,515,967,000 บาท โดยให้ ปภ. เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ผ่านธนาคารออมสิน
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือฯ จำนวน 292,237 ครัวเรือน (ข้อมูล 2 ต.ค. 68) ซึ่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินเพื่อโอนเงินให้ผู้ประสบภัยที่ได้รับการตรวจสอบข้อมูลสมบูรณ์แล้ว โดยจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์ มีจำนวน 147,370 ครัวเรือน เงินช่วยเหลือรวม 736,850,000 บาท ผู้ประสบภัยจะได้รับเงินช่วยเหลือในวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ส่วนจังหวัดศรีสะเกษ อุบลราชธานี สระแก้ว และจังหวัดตราด มีจำนวน 90,683 ครัวเรือน เงินช่วยเหลือรวม 364,417,000 บาท ผู้ประสบจะได้รับเงินช่วยเหลือในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 โดยธนาคารออมสินจะโอนเงินให้ผู้ประสบภัยผ่านระบบ PromptPay ที่ได้ผูกไว้กับหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ส่วนผู้ประสบภัยที่เหลือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะทยอยนำส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสินและโอนเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2568 ทั้งนี้ เมื่อ ปภ. ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินแล้ว ประชาชนจะได้รับเงินช่วยเหลือภายใน 3 วันทำการ
ในส่วนของจังหวัดที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประสานการดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อเร่งส่งให้ธนาคารออมสินโอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และได้แจ้งให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประสบภัยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ ให้ลงทะเบียนภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบรับรองข้อมูลตามแนวทางปฏิบัติ เพื่อเร่งรัดการจ่ายเงินให้รวดเร็วเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยได้อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ผู้ประสบภัยสามารถตรวจสอบสถานะรับเงินช่วยเหลือผ่านช่องทางhttp://relief68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister โดยระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนในการตรวจสอบ เพื่อให้สามารถติดตามการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาให้ทุนช่วยเหลือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน จำนวน 19 ล้านบาท ทั้งที่ทางกัมพูชายังไม่ให้ความร่วมมือว่า ในกรอบการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา มีการพูดคุยกันแล้วว่าจะต้องมีการร่วมมือกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด การถอดอาวุธหนักออกไป และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งการพูดคุยในรายละเอียดกำลังดำเนินอยู่ ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เราบอกไปแล้วว่าพร้อมที่จะให้เงินช่วยเหลือ และเชื่อว่ามีอีกหลายประเทศที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ
ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจะครอบคลุมพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 2 ด้วยใช่หรือไม่ต้องไปพูดคุย เพราะในเวที สหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา เราแสดงความมุ่งมั่นว่าต้องทำสิ่งที่ตกลงกันให้เป็นรูปธรรม ขึ้นอยู่กับความจริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลง ทั้งนี้ในทางอ้อมเราก็กดดันว่าการพูดเรื่องสันติภาพนั้นต้องมีการกระทำหรือการแสดงออกที่เป็นรูปธรรม
กรณีสื่อต่างชาตินำเสนอข่าวว่า ทางการจีนได้ส่งจรวดและกระสุนปืนใหญ่มายังกัมพูชานั้นพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงแล้วว่าเป็นข่าวเก่า ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือในการป้องกันประเทศเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้หมายความว่า เขาจะให้ความช่วยเหลือกัมพูชาในการรุกรานประเทศไทย