“เอกนิติ” เร่งฟื้นเศรษฐกิจเร่งด่วน “Quick Big Win”5 เสาหลัก 1 ฐานราก ลดภาระค่าครองชีพประชาชน วางรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงนโยบายคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในวันที่ 30 กันยายน 2568 และได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมในวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ว่า ไตรมาสที่ 4 ซึ่งเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นไตรมาสที่เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงติดหล่ม เนื่องจากการขยายตัวต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นหากไม่ทำอะไรเลยจะไม่เป็นเพียงแค่ “การติดหล่ม” แต่อาจจะถึงขั้น “ตกเหวได้” จึงได้เปิดยุทธศาสตร์ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” หรือ “Quick Big Win” กระตุ้นสั้น (Quick) คือ ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันทีภายใน 4 เดือน มีขนาดใหญ่ (Big) พอที่จะสามารถดันเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะติดหล่มได้ และที่สำคัญต้องกระจายตัว (Win) ต้องเกิดประโยชน์กับประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยอย่างทั่วถึง ประกอบด้วย 5 เสาหลัก 1 ฐานราก ได้แก่

เสาที่ 1 กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

  • ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเป็นการต่อยอดโครงการเดิม เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่าย โครงการนี้จะเน้นให้ประโยชน์กับร้านค้ารายเล็ก หาบเร่ แผงลอย และแท็กซี่ โครงการมีหลักการสอดคล้องกับโครงการคนละครึ่งในอดีต แต่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่กำลังซบเซา และมีเป้าหมายเพื่อเป็นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน โดยมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเดิมที่ให้ 150 บาทต่อวัน เป็น 200 บาทต่อวัน โดยประชาชนร่วมจ่ายอีก 200 บาท ครอบคลุมประชาชนกว่า 20 ล้านสิทธิ์ และจำกัดการใช้จ่ายเฉพาะร้านค้ารายย่อยเพื่อให้เงินหมุนเวียนสู่ชุมชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ มีการขยายสิทธิ์ให้แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จากเดิมที่กำหนดไว้ 18 ปี และมีมาตรการที่แตกต่างจากเดิม เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้เสียภาษี โดยได้รับสิทธิ์รัฐบาลสมทบเพิ่มร้อยละ 60 หรือ 2,400 บาท จากเดิมที่ร้อยละ 50 หรือ 2,000 บาท

สำหรับกำหนดการลงทะเบียน ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ส่วนประชาชน 20 ล้านสิทธิ์สามารถลงทะเบียน หรือยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบ “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 และสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 โดยวงเงินที่เหลือจากแต่ละวันสามารถสะสมใช้ได้จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ ยืนยันว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะไม่กระทบต่อการจัดเก็บภาษีย้อนหลัง แต่จะเป็นการสร้างความเข้าใจและปรับเข้าสู่ระบบภาษีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต

  • เหตุผลที่เป็นโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เนื่องจาก “พลัส” คือ การจูงใจเข้าระบบภาษี โดยผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับวงเงินมากกว่าคนนอกระบบ เช่น บุคคลทั่วไปได้รับ 2,000 บาท แต่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับ 2,400 บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น
  • ต่อยอดโครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งเคยมีอยู่เดิม สำหรับช่วยเหลือประชาชนฐานราก ที่ไม่มีต้นทุนเพียงพอร่วมจ่ายคนละครึ่ง โดยจะนำงบประมาณคงเหลือจากปีที่แล้วมาให้คนกลุ่มนี้ ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 13.4 ล้านคน โดยขยายวงเงินเพิ่ม จากเดิม 300 บาท เป็น 2,000 บาท อีกทั้ง โครงการคนละครึ่งยังรองรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ด้วยการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 2,000 บาท เพื่อให้ได้รับสิทธิ์เทียบเท่ากับผู้ใช้สิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน โดยคาดการณ์ว่าเงินจะถูกนำไปใช้หมุนเวียนในระบบจำนวนมาก และทั้งสองโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.6%
  • เน้น Reskill ให้กับผู้ค้ารายย่อยที่เข้าร่วมโครงการ เพิ่มทักษะดิจิทัล โดยเฉพาะการจัดอบรมทักษะการขายของออนไลน์ (E-commerce) บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งมีการร่วมมือกับภาครัฐ และพัฒนาทักษะการทำบัญชีดิจิทัล ซึ่งมีระบบคำนวณและจัดทำบัญชีให้อยู่แล้ว บัญชีเหล่านี้สามารถนำไปต่อยอดสู่การขอสินเชื่อจากธนาคารในอนาคตได้
  • การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง จะมีมาตรการลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับโรงแรมในเมืองรองที่ปรับปรุงและพัฒนาสถานประกอบการ ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และใช้เม็ดเงินภาษีไม่มาก

เสาที่ 2 แก้หนี้ประชาชน โดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL)

  • รัฐบาลจะนำเงินคงเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงิน ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) ร่วมกับธนาคาร เพื่อซื้อหนี้เสียของประชาชนออกมาบริหาร
  • จากนั้นจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดระยะเวลาผ่อน ลดดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาหายใจได้อีกครั้ง
  • ไม่ได้มีแค่สินเชื่อสำหรับคนที่เป็นหนี้เสีย แต่ยังมีสินเชื่อสำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปตามความเสี่ยง เพื่อลดความต้องการกู้นอกระบบ

เสาที่ 3 การช่วยเหลือธุรกิจ SME สำหรับมาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SME ประกอบด้วย

  • การค้ำประกันสินเชื่อ โดยใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท
  • การคืนภาษีเร่งด่วน โดยให้กรมสรรพากรเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีเงินที่สามารถคืนได้ทันทีกว่า 160,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ
  • โครงการพี่ช่วยน้อง ที่เป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ

รายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน

 เสาที่ 4 เพิ่มการออมภาคประชาชน

  • “เสี่ยงโชคเพื่อออม” ผ่านสลากออมทรัพย์ออนไลน์ โดยจะปรับปรุงระบบการซื้อสลากออนไลน์ และจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อทุกครั้งเข้าบัญชีเงินออมโดยอัตโนมัติ
    • ผู้ซื้อจะสามารถนำเงินออกมาใช้ได้เมื่อมีอายุครบ 55 ปี หรือถือครองครบ 5 ปี เพื่อเป็นหลักประกันในยามเกษียณ โดยจะใช้เงินจากงบการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เช่นเดียวกับพันธบัตรออมทรัพย์รายย่อย
    • จะเปิดให้ประชาชนรายย่อยสามารถเข้าถึงการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาลได้ทุกเดือน เพื่อเป็นทางเลือกในการออมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก

เสาที่ 5 การสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต มุ่งปลดล็อกการลงทุนที่ค้างท่อ

  • การลงทุนเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศระยะยาว
    • ปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI แล้วแต่ยังไม่เริ่มลงทุนสูงถึง 470,000 ล้านบาท เนื่องจาก
      ติดปัญหาด้านการขออนุญาตในเรื่องต่างๆรัฐบาลจะจัดทำ “Fast Plus Pass” เป็นช่องทางด่วนเพื่อเร่งรัดการอนุมัติทั้งหมดให้เกิดขึ้นภายใน 4 เดือน
    • การ Reskill แรงงาน โดยจะนำเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถของ BOI จำนวน 10,000 ล้านบาทมาจับมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เกษตรชีวภาพ และดิจิทัล

1 ฐานราก โดยทุกโครงการอยู่ภายใต้กรอบรากฐานวินัยการคลัง คือ “ไม่กู้เพิ่ม ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจจนเสียวินัยการคลังมีผลระยะยาวมากกว่าเป็นการแจกเงินธรรมดา” และตั้งอยู่บนความโปร่งใส สามารถอธิบายที่มาที่ไปของการใช้งบประมาณได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง