นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX 2025) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร โดยมีนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด
นายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เนชั่นกรุ๊ป นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม
นายอนุทิน กล่าวถึงความยั่งยืน (Sustainability) ว่าเป็นสิ่งที่ในยุคนี้ทุกคนได้ยินกันบ่อยครั้ง แม้แต่องค์การสหประชาชาติ ก็ใช้คำว่า SDGs เป็นตัวผลักดันกติกาใหม่ของโลก รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน จึงมีทั้งนโยบาย Quick Win เร่งด่วนในช่วง 4 เดือน และนโยบายระยะยาวที่ต้องวางรากฐานเพื่อให้เกิดความยั่งยืน และรัฐบาลต่อไปจะสามารถนำไปต่อยอดและดำเนินการต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องการค้าและอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศไทยของเรากำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนทั้งจากภัยสงคราม ภัยการค้า การแข่งขันทางเศรษฐกิจ และภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทุกวันนี้มีหลากหลายมิติที่ทำให้สังคมไทยเราต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้เรามีความอยู่รอดสิ่งสำคัญคือต้องพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน ในลักษณะที่ “สิ่งนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด” เพราะคำว่ายั่งยืน ไม่ได้หมายถึงเพียงคำว่า “โลกสีเขียว” หรือ “สิ่งแวดล้อม” เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการทำ 3 สิ่งนี้ให้ก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นคง มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรมีความมั่นคงด้วยการหาโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ ทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดี มีสุข มีรายได้ มีเงินใช้ มีเงินออม มีความอยู่รอดอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และรักษาสังคม รักษาโลกให้ลูกหลานของเราอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดีต่อไป ทำให้คนเรียนรู้ที่จะดูแลตนเองโดยลดการพึ่งพาผู้อื่น
อีกหนึ่งประเด็นที่นายอนุทินให้ความสำคัญคือ คุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เพราะหากประชากรในประเทศมีอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้นถึง 90 ปี ก็ต้องมีระบบหรือแนวทางในการรองรับ อาทิ การขยายเวลาเกษียณอายุราชการมากกว่า 60 ปี และขณะเดียวกัน รัฐบาลได้เตรียมการดูแลด้านสุขภาพและสุขภาวะของพี่น้องประชาชน ตามหลัก Health Security ด้วยการมีเงินทุนเพื่อดูแลสุขภาพคนไทยจากการส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชนได้ประกอบธุรกิจอย่างสะดวก ส่งเสริมทุกวิถีทางให้มีรายได้เข้าประเทศให้มากที่สุด ทั้งภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต จึงต้องมีการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เหมาะสมกับสภาพสังคมและสภาพประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลจะใช้โอกาสนี้ก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ Health Rehabilitation (การฟื้นฟูสุขภาพ) ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยเป็นตัวเลือกเดียวของคนต่างชาติที่จะเข้ามาฟื้นฟูสุขภาพและรักษาพยาบาลในประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐที่มีลักษณะพรีเมี่ยมคลินิก สำหรับผู้ที่ประสงค์จะได้รับการดูแลแบบพรีเมี่ยม ซึ่งเงินเหล่านั้นถูกใช้เป็นเงินกองทุนและเงินบำรุงไปยังโรงพยาบาลศิริราชที่เป็นโรงพยาบาลดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วไป ซึ่งเป็นโมเดลที่ดีมาก และโรงพยาบาลของรัฐอื่นๆ ก็สามารถทำได้ จะทำให้แม้ป่วยก็ยังมีความสุข เพราะเงินที่จ่ายให้โรงพยาบาลพรีเมี่ยมได้ทำบุญด้วย ส่วนที่เป็นกำไรก็จะถูกนำไปมอบให้กับโรงพยาบาลคู่ขนานที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าการที่ประชาชนต้องดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ เราต้องไม่มองแค่ในประเทศ แต่เราต้องมองในระดับภูมิภาค คือ อาเซียน ซึ่งเราเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่เป็นไข่แดงอยู่ตรงกลาง จุดที่สามารถเดินทางไปภาคภูมิต่างๆ ได้โดยสะดวก และเราเป็นประเทศที่มีภูเขา ทะเล มีทางออกทั้งทางบก ทางน้ำ เชื่อมถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก หรือ EWEC (East-West Economic Corridor) ดังนั้นเราต้องทำให้ประเทศไทยของเราไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่เราต้องเป็นประเทศที่ผู้ที่ผ่านไปมาต้องแวะ ต้องพัก ต้องจับจ่ายใช้สอย ด้วยต้นทุนทางด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคสินค้าและบริการ โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชนและกำหนดมาตรการเพื่อให้เกิดการอำนวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุน ทำให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาและต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่เป็นเสือนอนกินที่ไม่มีการพัฒนา เราจะต้องปรับตัวให้มีความเป็นสากล ความเป็นธรรมาภิบาลเพิ่มมากขึ้นด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้งสังคมภายในและภายนอกประเทศ อาทิ ด้านสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ผลกระทบจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ Geopolitics ต่างๆ เราจึงต้อง Adaptation คือ การปรับเปลี่ยนโลก สร้างโอกาสทั้งหลายเพื่อเศรษฐกิจ เพื่อโอกาสเพื่ออุตสาหกรรม เพื่อปากท้องของประชาชน และขณะเดียวกัน ในด้านการปรับตัว เรามีการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนตลอดจนถึงทุกภาคส่วนได้เห็นความสำคัญของ “สังคมสีเขียว” พลังงานสะอาด การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลมุ่งที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้ง Solar ชุมชน Solar มวลชน เช่น การรวมกลุ่มเป็นเศรษฐกิจชุมชนจากการขายขยะ ขายคาร์บอนเครดิต ขายปุ๋ยหมัก แปลงผัก โคก หนอง นา ผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมกันเป็นกลุ่มเศรษฐกิจชุมชน
หากประเทศไทยแข็งแรง สังคมดี เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น ในตอนนี้ประเทศไทยอาจจะกำลังชะงักงันในเรื่องการเมือง แต่ถ้าดูกันจริงๆ ความสามัคคีของคนในชาติจะทำให้ภาคการเมืองมีความสามัคคีไม่ขัดแย้งกัน และรัฐบาลมุ่งมั่นในการส่งเสริมทั้งภาคการค้าและอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยผู้ประกอบการไทยต้องเชื่อว่า ความยั่งยืนจะเป็นโอกาส ทั้งโอกาสที่จะเปิดตลาดใหม่ โอกาสที่จะเพิ่มรายได้และเป็นการสร้างโอกาสให้เรามีสิ่งแวดล้อม มีสุขภาพอนามัยที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพเพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติของเราให้จงได้
สำหรับเรื่องการส่งเสริมภาคการค้าและอุตสาหกรรม นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แสดงความคิดเห็นในงาน Sustainability Expo 2025 (SX 2025) ในหัวข้อ “ผนึกกำลังทางการค้า จากความท้าทายสู่โอกาส” โดยได้วิเคราะห์จุดอ่อนและอุปสรรคของ SMEs ทั้งไทยและทั่วโลกเอาไว้ 3 ข้อ คือ ขาดเงินทุน (บางรายใช้คำว่า ไม่มีเงินจึงไม่โต ในขณะที่บางรายบอกว่า ไม่มีเงินไม่เป็นไร เมื่อมีความพร้อม เงินจะเข้ามาเอง) ขาดมาตรฐาน (ไม่เป็นมาตรฐานสากล) และขาดโอกาส (ไม่ทราบว่ากฎกติกาของโลกเปลี่ยนไปอย่างไร)
นายวิฤทธิ์ ได้กล่าวว่า สิ่งที่ภาครัฐกำลังดำเนินการเพื่อช่วยเหลือในการปิดจุดอ่อนมีดังนี้
– เปิดธนาคารเฉพาะสำหรับช่วยเหลือ SMEs ให้มากขึ้น
– เพิ่มกองทุนต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเรื่องเงินทุน
– เพิ่มการสื่อสารข้อมูลให้ความรู้โดยภาครัฐ เกี่ยวกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร