นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับฟังบรรยายสถานการณ์เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่กองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ โดยมีพลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 พลเอก ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมด้วย
นายอนุทิน ได้กำชับให้ฝ่ายปกครองดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค การจัดหาที่พักพิงชั่วคราว ตลอดจนการอพยพประชาชนในพื้นที่ที่จำเป็น ขณะเดียวกันได้กำชับให้ฝ่ายทหารดูแลรักษาความปลอดภัยโดยรอบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่ารัฐบาลพร้อมดูแลอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งแสดงความยินดีกับแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ พร้อมมั่นใจว่าแม่ทัพภาคที่ 2 จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็ง และร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการดูแลความสงบเรียบร้อยของพื้นที่ชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับกำลังพลกองกำลังสุรนารี จากนั้น เดินทางไปตรวจภูมิประเทศและเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล ณ ฐานปฏิบัติการสามแยก กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับกำลังพลในพื้นที่ และได้พูดคุยถามไถ่ความเป็นอยู่ด้วยความห่วงใย พร้อมย้ำว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทั้งด้านสวัสดิการและการปฏิบัติงานเพื่อให้กำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจและเต็มที่ในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้ ขอให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความปลอดภัย
จากนั้นได้เดินทางไปยังโรงเรียนพนมดงรักวิทยา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พบปะประชาชน หัวหน้าส่วน นายอำเภอ นายกองค์การ บริหารส่วนตำบล และกำนันในพื้นที่ ทันทีที่เดินทางถึงได้เข้าทักทายถามไถ่เหล่าทหารผ่านศึกและประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นกันเองและอบอุ่น พร้อมกล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ได้นำรัฐมนตรีหลายคนมา ด้วยความตั้งใจเดินทางมาเยี่ยมประชาชนจังหวัดสุรินทร์ ด้วยความเป็นห่วงและนำกำลังใจอย่างเปี่ยมล้นมาให้กับประชาชน รวมไปถึงทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทุกคน โดยย้ำว่ารัฐมนตรีจะมาช่วยเหลือประชาชนและทำให้เรื่องต่าง ๆ ดีขึ้น ทั้งความมั่นคง การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และยืนยันว่า เงินเยียวยาจะถึงมือประชาชนทุกคนในสัปดาห์หน้า ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว รวมถึงการสร้างบังเกอร์หลุมหลบภัย ขอไม่ต้องกังวล ที่มาวันนี้ด้วยความตั้งใจ และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประชาชน ไม่ใช่เฉพาะคนสุรินทร์ แต่รวมถึงประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาทุกจังหวัด พร้อมทำตามความต้องการของประชาชน แต่ขณะเดียวกันจะต้องใช้การทูตเจรจาให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดและไม่เสียเปรียบ ด้วยการดำเนินการผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ เพื่อให้สถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติให้ดีที่สุด หลังจากนี้จะกลับไปดูเรื่องการเยียวยา เรื่องความปลอดภัย รวมถึงเรื่องหนี้สิน ราคาสินค้าเกษตร และสวัสดิการฟอกไตฟรี และขออวยพรให้สุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากภัยอันตราย อีกทั้ง ได้มอบชุดเครื่องแบบชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้แก่ตัวแทนจากอำเภอพนมดงรัก อำเภอบัวเชด และอำเภอสังขะ และได้มอบถุงยังชีพให้กับประชาชน
ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความมั่นใจกับประชาชนในพื้นที่ว่า จะมีมาตรการเพื่อดูแลสินค้าเกษตร ทั้งการซื้อ-ขาย รวมทั้งการส่งออก ผ่านไปทางสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเวียดนาม และหาตลาดใหม่เพิ่ม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการ
นายอนุทิน ได้กล่าวถึงกรณีการอพยพชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ และ ล่าสุดสื่อกัมพูชารายงานว่า จะไม่ออกจากพื้นที่ ว่า บ้านหนองจานเป็นพื้นที่ของประเทศไทย เราต้องดำเนินการตามกฎหมายไทย จะไม่ให้คนที่ไม่ได้เป็นคนที่ถือสัญชาติไทย มาทำผิดกฎหมายในประเทศไทย ส่วนการใช้กฎหมายต้องใช้หลายๆ กฎหมายประกอบกัน ซึ่งกลุ่มนี้คือคนทั่วไป ต้องปฏิบัติกับเขาอีกวิธีหนึ่ง แต่ต้องไม่ทำให้เขาเดือดร้อน ไม่ใช่การผลักดันออกไป แต่จะใช้วิธีทางกฎหมายให้ได้มากที่สุด และพูดคุยให้ได้มากที่สุด ส่วนจะเริ่มดำเนินการวันที่ 10 ตุลาคมนี้หรือไม่นั้น คิดว่าเริ่มมาจากผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้พยายามตั้งเป็นไทม์ไลน์มากกว่า แต่การปฏิบัติในเรื่องนี้ต้องดูหลายมิติ สิ่งที่เป็นประเด็น สิ่งที่เป็นความอันตรายขณะนี้อยู่ที่ชายแดน ต้องไปดูเรื่องการปะทะ ความพร้อมของตัวเรามากกว่า เรื่องของการผลักดันออกไป อาจเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา หากถอนอาวุธหนัก ทุ่นระเบิด และถอนกองกำลังออกไปก็มาเจรจาในเรื่องนี้ ซึ่งกัมพูชาต้องหาสถานที่เพื่อนำชาวกัมพูชากลับไปยังอาณาเขตของตัวเอง หากเป็นเช่นนี้ยังพอพูดกันได้ ไปสร้างชุมชนใหม่ให้เขาได้ย้ายออกไป แต่ไม่ใช่ผลักดัน ในขณะที่การเผชิญหน้ากันยังมีอยู่ต้องจัดลำดับ
อีกทั้ง ยังได้ให้สัมภาษณ์ถึงการรับฟังสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เราต้องให้การสนับสนุนกองทัพ แม้จะยังไม่มีการปะทะ แต่เราเตรียมความพร้อมและแสนยานุภาพที่ดีตลอดเวลา ถือเป็นหลักในการเตรียมความพร้อมในการปกป้องอธิปไตย ส่วนการสนับสนุนอะไรบ้าง คงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ขอให้มั่นใจว่า ผืนแผ่นดินของประเทศไทย ไม่มีใครสามารถเข้ามารุกราน คุกคามประชาชนได้
กรณีที่จังหวัดสุรินทร์มีการขอสนับสนุน anti-drone นั้น กองทัพวางแผนอยู่แล้ว ส่วนกรณีประชาชนขอยังไม่ให้เปิดด่าน เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ที่อาจเกิดการปะทะอีกครั้ง แทบจะเป็นฉันทานุมัติของประชาชน ไม่มีใครอยากให้เปิดด่านเลยสักคน ดังนั้นรัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน เรื่องเปิดด่านขอให้มั่นใจว่า จะไม่มีวันเกิดขึ้นจนกว่าเงื่อนไข หรือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยได้รับการยอมรับ และทำให้เรามั่นใจถึงจะพิจารณา ส่วนการสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ให้ทางกองทัพกำหนดว่า จะสร้างรั้วบริเวณไหน เมื่อไร อย่างไร โดยรั้วจะมีหลายรูปแบบ ให้เป็นไปตามภูมิประเทศ ซึ่งเราจะสร้างอยู่ในแนวเขตของประเทศเราไม่ได้ไปรุกล้ำใคร ดังถ้อยแถลงของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่สหประชาชาติ ว่าเราเป็นผู้ที่ถูกรุกล้ำ ดังนั้น หลักตรงนี้เราจะทำให้ประชาคมโลก เกิดความมั่นใจว่า เราทำทุกสิ่งเพื่อรักษาอธิปไตย และเกียรติภูมิของประเทศเรา
สำหรับแนวทางการผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย บริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังตามหลักมนุษยธรรม เพื่อไม่ให้เกิดภาพที่ไม่เหมาะสม หรือถูกนำไปใช้ขยายผลในเวทีต่างประเทศ รวมทั้งจะต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เป็นการเผชิญหน้าด้วยกำลังอาวุธเหมือนพื้นที่อื่น ๆ จะมีการออกประกาศหรือแจ้งเตือน และมีการพูดคุยกับผู้รับผิดชอบในพื้นที่ ทั้งฝ่ายจังหวัดสระแก้ว และฝ่ายจังหวัดบันเตียเมียนเจ็ย ของกัมพูชา โดยย้ำเตือนฝ่ายกัมพูชาว่าต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายของประเทศไทยและหลักสากล ส่วนขั้นตอนการผลักดัน ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ตามกำหนดการที่ได้ตกลงกันไว้ อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายปกครอง ส่วนจะเริ่มดำเนินการผลักดันแน่นอนหรือไม่ ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า โดยวางแนวทางรับมือสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงนอกจากนี้ กรณีที่กัมพูชามักจะนำเรื่องมนุษยธรรมและเรียกร้องให้ปล่อยตัวทหารเชลยศึกทั้ง 18 นาย มากล่าวอ้าง ยืนยันว่า ไทยดำเนินการตามหลักสากล ยึดมั่นหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งเปิดกว้างให้องค์การสากลเข้าเยี่ยมเชลยทั้ง 18 คน เป็นระยะ ซึ่งไม่มีปรากฏว่าผู้ที่มาเยี่ยมแสดงความกังวล และให้ความเห็นในทิศทางลบ ในทางกลับกัน ไทยได้รับคำชื่นชมด้วย
พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้แจงกรณีการจัดทำรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนแก่ประชาชน ดังนี้
1. จากการประชุมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มีมติให้ดำเนินการสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความมั่นคงและป้องกันปัญหาตามแนวชายแดน
2. พื้นที่การก่อสร้าง จะพิจารณาดำเนินการเฉพาะในจุดที่เหมาะสม
3. ลักษณะของรั้วจะออกแบบแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศและเงื่อนไขในแต่ละพื้นที่
4. สภาความมั่นคงแห่งชาติได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทย ทำหน้าที่บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ กองทัพไทยยืนยันว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามมติของ สมช. มุ่งหวังเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างยั่งยืน และขอให้ประชาชนมั่นใจในเจตนารมณ์ของกองทัพไทยในการดูแลความสงบเรียบร้อยและปกป้องอธิปไตยของชาติ หากมีความคืบหน้าในการระบุพื้นที่และรูปแบบในการจัดสร้าง จะแจ้งให้ทราบต่อไป
ส่วนศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2568 สถานการณ์โดยรวม มีการตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา โดยตรวจพบโดรนบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ 12 ลำ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ 2 ลำ พื้นที่ภูผี 1 ลำ พื้นที่โดนตวล 1 ลำ พื้นที่ภูมะเขือ 14 ลำ พื้นที่พลาญหินแปดก้อน 1 ลำ พื้นที่ปราสาทพระวิหาร 5 ลำ พื้นที่ปราสาทตาควาย 20 ลำ และพื้นที่วัดหัวอ่างสามัคคี อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ 2 ลำ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทย จัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจ ตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์