“อนุทิน” พบปะชาวบุรีรัมย์ที่ได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันฟังเสียงคนพื้นที่ ไม่เปิดด่าน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พบปะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย เมื่อเดินทางมาถึงกองอาสารักษาดินแดน (อส.) จำนวน 140 นาย และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จำนวน 380 นาย ให้การต้อนรับ จากนั้นนายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวต้อนรับ ตัวแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่บ้านเรือนและยานพาหนะได้รับความเสียหาย รวมถึงเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบทางการเกษตรและปศุสัตว์ กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

นายอนุทิน กล่าวให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมขอบคุณประชาชนที่ดูแลซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา การลงพื้นที่ครั้งนี้คณะรัฐมนตรีร่วมเดินทางมาพบกับชาวบุรีรัมย์ด้วย ยืนยันว่า คณะรัฐมนตรีพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชนทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแค่จังหวัดบุรีรัมย์ ช่วงเวลาที่ผ่านมาประชาชนในพื้นที่ชายแดนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย ทั้งเรื่องภัยความมั่นคงและความไม่สงบ อย่างไรก็ตามต้องขอชื่นชมทุกคนที่ให้ความร่วมมือกับทางราชการในการอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ทุกคน ได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจ ความเสียสละ ร่วมแรงร่วมใจกันทั้งการส่งของใช้และอาหารแห้งมาช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน สมาคม หรือประชาชนทั่วไป ทุกคนล้วนต้องการส่งกำลังใจให้กับชาวบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง แต่เมื่อขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จึงขอนำสิ่งของที่ประชาชนทั่วประเทศร่วมบริจาคในครั้งนั้น นำไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวชายแดน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทยของเราอย่างสุดกำลัง และขอให้ทุกคนมั่นใจในกองทัพไทย ทหารของเราทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจแห่งความเป็นไทย ไม่มีวันยอมให้ใครมารุกรานหรือยึดครองผืนแผ่นดินของเราได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณเรียบร้อยแล้ว โดยกระทรวงการคลังจะโอนเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และจะทยอยจ่ายให้ครบทุกคน หากใครยังไม่ได้ลงทะเบียน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วน นอกจากนี้ ขอเชิญชวนร่วมลงทะเบียน “โครงการคนละครึ่งพลัส” เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ซึ่งถือเป็นโครงการที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปพร้อมกัน รัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อดูแลประชาชนในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดน โดยจะยึดมั่นในการรับฟังเสียงของประชาชนคนในพื้นที่เป็นสำคัญ เพราะประชาชนคือหัวใจของการทำงานของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าการบริหารจัดการภารกิจเกี่ยวกับชายแดนเป็นหน้าที่ของกองทัพและฝ่ายความมั่นคง โดยจะไม่เปิดด่าน หากประชาชนไม่ต้องการเปิดด่าน รัฐบาลจะไม่ดำเนินการใด ๆ จนกว่าจะมีความเห็นชอบร่วมกันอย่างชัดเจน

นายอนุทิน ได้พบปะกับประชาชนที่มาร่วมให้กำลังใจ โดยมีประชาชนเข้าร่วมงานประมาณ 3,200 – 3,500 คน ซึ่งบรรยากาศภายในพื้นที่เป็นไปด้วยความอบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และได้มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 1,000 ชุด โดยมีตัวแทนประชาชนขึ้นรับมอบจำนวน 2 ชุด ๆ ละ 10 คน รวมทั้งสิ้น 20 คน

จากนั้นได้ลงพื้นที่ จุดผ่านแดนช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นจุดผ่อนปรนการค้าที่เชื่อมต่อกับจุดจุ๊บโกกี กัมพูชา ที่ขณะนี้ยังคงถูกปิดอยู่ โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดน ก่อนจะเดินดูบริเวณรอบ ๆ พื้นที่จุดผ่านแดน และมอบเสบียงอาหาร ให้กับทหารที่ปฏิบัติงาน และเดินทางต่อไปที่ฐานปฏิบัติการแมงป่อง กองร้อยทหารพรานที่ 2604 เพื่อมอบเสบียงอาหารบำรุงขวัญกำลังใจให้กับกำลังป้องกันชายแดนของกองกำลังสุรนารี พร้อมเข้าไปดูภายในฐานทัพ และแนวรั้วตามแนวชายแดน ทั้งนี้ยังได้พาผู้สื่อข่าวเดินดูแนวรั้วลวดหนามที่เจ้าหน้าที่ทหารติดตั้งไว้ พร้อมกล่าวว่า มีรั้วลวดหนามหีบเพลงที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นรั้วอย่างหนึ่ง ทำหลายชั้นและตอกไปตามแนวเขต เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามา และมีทหารเฝ้าประจำจุด ยอมรับว่าสงสารทหาร เพราะเขาต้องอยู่กันแบบนี้ ช่วงหน้าฝนก็ต้องอยู่ต้องเฝ้าตามแนวชายแดน สำหรับการสร้างจะเป็นไปตามภูมิประเทศ และตามความสำคัญ

ทางด้านพลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีการสร้างรั้วในพื้นที่แนวชายแดนไทย- กัมพูชา ว่าในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 มีพื้นที่ที่จัดระเบียบเขตแดนแล้ว 29 หลัก เช่นบริเวณช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ มีพื้นที่ที่ต้องสร้างเป็นอนุสรณ์ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย- กัมพูชา แต่ยังมีบางพื้นที่ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จึงต้องไปพิจารณาและหารือกับรัฐบาลว่าจุดใดที่พร้อมดำเนินการ และจะเริ่มได้เมื่อใด แม้นายกรัฐมนตรีจะมอบอำนาจให้กองทัพดำเนินการได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน

ส่วนกรณีมีผู้เป็นห่วงว่า “ปราสาทคนา” จะถูกกัมพูชายึดครอง พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ปราสาทคนา ตั้งอยู่บริเวณชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันมีสภาพเป็นสิ่งปรักหักพัง  หลงเหลือเพียงแนวกำแพงศิลาแลงสูงประมาณ 1.6 เมตร ยาวประมาณ 25 เมตร แนวเดียวเท่านั้น ตัวปราสาทตั้งอยู่ห่างจากขอบหน้าผามาทางฝั่งไทยประมาณ 100 เมตร มีองค์ประกอบคือ สระน้ำ 2 แห่ง คือสระน้อยและสระใหญ่ บริเวณใกล้เคียงปราสาทต่ำลงไปทางขอบหน้าผามีฐานทหารกัมพูชา ตั้งอยู่เป็นแนวไปทางทิศใต้  โดยมีฐานทหารของไทย โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 (ฉก.ทพ.26) อยู่บริเวณใกล้เคียงปราสาทไปทางทิศเหนือควบคุมพื้นที่ 2 แห่งคือ ฐานสระใหญ่และฐานสระน้อย ที่ผ่านมาฝ่ายไทย เข้าไปตรวจสอบสภาพพื้นที่เป็นประจำ เพื่อไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปใช้งานเป็นที่ตั้งสำหรับปฏิบัติการทางทหาร และบางครั้งฝ่ายกัมพูชาจะเข้ามาพบกับฝ่ายไทย โดยฝ่ายกัมพูชา ไม่ได้มีทีท่าจะขยับคืบเข้ามาควบคุมบริเวณพื้นที่ซากหรือกำแพงของปราสาทแต่อย่างใด กระทั่งเกิดความขัดแย้งเหตุการณ์ปะทะกันที่ช่องบกเมื่อเดือน พฤษภาคม 2568 เกิดความตึงเครียดตลอดแนว ทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่มีการเข้าไปบริเวณซากกำแพงโบราณสถานดังกล่าว

สำหรับบันไดไม้ที่ฝ่ายกัมพูชาสร้างนั้นเป็นการสร้างเพื่อใช้สำหรับการส่งกำลังบำรุงขึ้นมายังฐานตรวจการณ์ที่อยู่บนแนวหน้าผา ซึ่งไม่ใช่สร้างเพื่อกิจกรรมการท่องเที่ยว ลักษณะของกำลังทหารกัมพูชาที่อยู่บนนั้นไม่มีท่าทีคุกคามเหมือนบางพื้นที่ และจุดเฝ้าตรวจของกัมพูชาไม่มีลักษณะเป็นป้อมปราการทางทหาร เพื่อใช้สำหรับเตรียมการต่อสู้แต่อย่างใด ซึ่งจากนี้ไปกองกำลังสุรนารี จะจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีเหตุความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) โดยมีผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ระหว่างวันที่ 4–5 ตุลาคม 2568 ภายในภารกิจ คณะฯ ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดน ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ ก่อนเดินทางลงพื้นที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบริเวณที่เคยตรวจพบการลักลอบวางทุ่นระเบิด (บริเวณต้นพญาสัตบรรณ จุดตรวจพบทุ่นระเบิด)

จากข้อมูลของหน่วยในพื้นที่ พบว่ามีการลักลอบวางทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนกว่า 200 ลูก ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนที่ผ่านมา รวม 36 เหตุการณ์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 นาย หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นสูญเสียขา การลงพื้นที่ของคณะ IOT ในครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการติดตามและรับทราบข้อเท็จจริงจากหน่วยในพื้นที่โดยตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติและยั่งยืน ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 2 ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ เข้มแข็ง และยึดมั่นในการรักษาอธิปไตยของชาติ เพื่อให้พื้นที่ชายแดนคงความสงบมั่นคง และประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัย

พลจัตวา ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย หัวหน้าคณะ IOT กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อกล่าวหาว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด แต่มาเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงปัญหาในพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ตามบันทึกข้อตกลงจากผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา โดยวันนี้ได้รับทราบข้อมูลอัพเดทจากกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งครอบคลุมและครบถ้วน จะนำข้อเท็จจริงที่ได้รายงานให้หน่วยเหนือได้ทราบ จากนั้นหน่วยเหนือจะได้พูดคุยกันและมาจบที่การประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชา  

ส่วนในวันที่ 5 ตุลาคม 2568 คณะ IOT จะเดินทางเยี่ยมสถานที่ควบคุมเฉลยศึก และลงพื้นที่ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง