นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมนัดแรกของคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ในวันที่ 6 ต.ค. 68 หลังมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 311/2568 แต่งตั้งเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 68 เพื่อกำกับ ติดตาม และบูรณาการการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นระบบ
การตั้ง คอภ. และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.) มีจุดเริ่มต้นจากการที่นายอนุทินลงพื้นที่ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ 27 ก.ย. 68 เพื่อตรวจสถานการณ์น้ำท่วมด้วยตนเอง และพบว่าประชาชนประสบปัญหาซ้ำซากทุกปี การช่วยเหลือที่ผ่านมายังไม่ครอบคลุมหรือทันต่อความเดือดร้อน จึงสั่งให้จัดตั้งกลไกกลางที่ทำงานแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อให้การเยียวยามีความรวดเร็ว เป็นเอกภาพและตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง
คอภ. มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำหน้าที่อำนวยการและบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ ตั้งแต่การเตรียมพร้อม ติดตามเฝ้าระวัง การป้องกัน การช่วยเหลือในระหว่างเกิดเหตุ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังสิ้นสุดเหตุการณ์ อีกทั้งยังมีอำนาจสั่งการหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่เกี่ยวข้องให้บูรณาการทำงานร่วมกัน รวมถึงสามารถแต่งตั้งคณะทำงานหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาสนับสนุนได้ตามความจำเป็น
สำหรับ ศชภ. มีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ จะทำหน้าที่บัญชาการกลางและประสานงานทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน และท้องถิ่น เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยครบถ้วน ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายประชาชน การดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน การจัดหาอาหาร น้ำดื่ม เครื่องใช้จำเป็น ตลอดจนการวางระบบที่พักอาศัยชั่วคราวที่เพียงพอและทั่วถึง
นายอนุทิน ได้มอบหมายให้ ศชภ. จัดทำมาตรการถาวรช่วยเหลือประชาชนที่เสียสละพื้นที่ทำกินหรือที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นพื้นที่รับน้ำในฤดูน้ำหลากทุกปี โดยกำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ลดปัญหาการต้องยื่นเรื่องขอเป็นรายกรณีเหมือนที่ผ่านมา ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน โดยเน้นย้ำว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต้องรวดเร็ว โปร่งใส และทั่วถึง กำหนดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นเร่งตรวจสอบและขึ้นทะเบียนผู้ประสบภัยให้ครบถ้วน เพื่อให้การจ่ายค่าครองชีพและการเยียวยาเข้าถึงจริง ไม่ตกหล่น พร้อมให้ทุกหน่วยงานรัฐส่งมาตรการช่วยเหลือเข้าสู่ ศชภ. เพื่อรวบรวมและกลั่นกรอง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้นโยบายกับทุกส่วนราชการว่า การช่วยเหลือประชาชนในยามเดือดร้อนคือภารกิจสำคัญสูงสุดของรัฐบาล และได้มอบหมายรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ต่าง ๆ รับฟังปัญหาโดยตรง และกำชับ ปภ. ดูแลประชาชนใกล้ชิด พร้อมรายงานข้อมูลมายังนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรการเยียวยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์
จังหวัดอุดรธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 50 ชุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ และติดตามการติดตั้งสะพานแบริ่งชั่วคราว บ้านโคกสะอาด หมู่ที่ 1 ต.โคกสะอาด อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี ของสำนักชลประทานที่ 5 กรมชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการสัญจร ภายหลังจากบริเวณถนนทางเข้าบ้านโคกสะอาด หรือทางเข้าโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยหลวงคอสะพานชำรุด
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการมาตรการป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับการป้องกันผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีบทเรียนจากเหตุการณ์อุทกภัยในปี 2554 การลงพื้นที่ไม่ใช่เพียงการตรวจเยี่ยมแต่เป็นการมาเพื่อสร้างความมั่นใจว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย ได้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของนิคมฯ บางปะอิน ทั้งแนวคันดินคอนกรีต เสริมเหล็กที่ได้มาตรฐานสากล ระบบสูบน้ำขนาดใหญ่ และแผนเผชิญเหตุที่รัดกุม มีการเตรียมตัวที่ดีเยี่ยม พร้อมมอบนโยบายและสั่งการเพิ่มเติม ให้มีการบูรณาการข้อมูลสถานการณ์น้ำเป็นหนึ่งเดียว (Single Command) จัดทำช่องทางการสื่อสารฉุกเฉินที่เข้าถึงง่ายสำหรับผู้ประกอบการ และสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง 3 นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และนิคมอุตสาหกรรมบางหว้า (ไฮเทค) เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามฉุกเฉิน
จังหวัดอุตรดิตถ์ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่วัดศรีสะอาด ต.น้ำอ่าง อ.ตรอน เพื่อติดตามการให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ระบุว่า นายกรัฐมนตรีและ ครม. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา พร้อมสั่งการให้รัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการกระจายกำลังลงพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อประสานการบริหารจัดการสาธารณภัยภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัด และแต่งตั้ง “คอภ.” เป็นกลไกสำคัญในการหนุนเสริมการทำงาน โดยรัฐบาลมอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ปภ. กรมชลประทาน และหน่วยงานด้านวิชาการร่วมกันศึกษามาตรการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต โดยเน้นแนวทาง “การป้องกันเชิงรุก” แม้ต้องใช้งบประมาณสูง แต่ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเยียวยาความเสียหายซ้ำซาก ซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมมอบถุงยังชีพ 500 ชุด และให้กำลังใจผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.ตรอน ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุ “บัวลอย” ทำให้เกิดน้ำท่วมใน 4 ตำบล 20 หมู่บ้าน รวม 2,868 ครัวเรือน ขณะนี้ระดับน้ำลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเร่งสำรวจความเสียหายและฟื้นฟูพื้นที่ จากนั้น เดินทางต่อไปยัง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก มอบถุงยังชีพ 500 ชุด และกำชับให้ทุกหน่วยเร่งดำเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเปราะบาง การซ่อมแซมบ้าน ถนน สะพาน และระบบสาธารณูปโภค พร้อมสำรวจความเสียหายด้านการเกษตรและอาชีพ เพื่อเยียวยาอย่างทั่วถึง
จังหวัดพิษณุโลก นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจศูนย์บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครพิษณุโลก พร้อมร่วมกรอกกระสอบทรายกับเจ้าหน้าที่เพื่อเสริมแนวคันกั้นน้ำ โดยขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านได้ลดลงต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ และลงพื้นที่บ้านบางพยอม หมู่ 3 ต.หัวรอ อ.เมืองพิษณุโลก เพื่อเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยริมแม่น้ำน่าน โดยชาวบ้านร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นเสริมแนวคันดินป้องกันน้ำ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายและไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 โดยย้ำถึงความห่วงใยจากรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีต้องการส่งต่อกำลังใจและความช่วยเหลือให้ถึงมือพี่น้องประชาชน พร้อมรับปากจะนำข้อเสนอจากพื้นที่ไปพิจารณา หากมีงบประมาณจะเร่งดำเนินการช่วยเหลือโดยเร็ว พร้อมมอบถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคให้ประชาชนในพื้นที่
จังหวัดเชียงใหม่ นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ อ.แม่แจ่ม ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางช่วยเหลือประชาชน พร้อมตรวจความคืบหน้าโครงการชลประทานสำคัญ ณ สะพานช่างเคิ่งสามัคคี บ้านกองกาน ต.ช่างเคิ่ง จากอิทธิพลพายุ “รากาซา” ทำให้ลำน้ำแม่แจ่มเอ่อล้น ท่วมพื้นที่เกษตรกว่า 3,000 ไร่ บ้านเรือนและถนนได้รับความเสียหาย จึงมอบหมายให้กรมชลประทานบูรณาการกับกรมพัฒนาที่ดินและหน่วยงานในพื้นที่เร่งแก้ไขปัญหา ฟื้นฟูพื้นที่ และวางแผนป้องกันระยะยาว เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ศึกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการฝายผาแดง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำ รวมถึงให้กรมพัฒนาที่ดินขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูดินและพื้นที่ประสบภัยหลังน้ำลด เน้นการพัฒนาเชิงบูรณาการ ป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน สร้างฝายชะลอน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ขุดลอกคลอง และปรับปรุงพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน
จังหวัดศรีสะเกษ ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อพบปะให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ รวมจำนวน 40 ครัวเรือน จำนวน 5 จุด ได้แก่ คุ้มโนนงาม 6 ครัวเรือน คุ้มหนองหมู 21 ครัวเรือน คุ้มหนองบัว 6 ครัวเรือน ชุมชนศรีสำราญ ถนนตัดใหม่ ซอยทางเข้าการประปา 1 ครัวเรือน และชุมชนสะพานขาว อีก 6 ครัวเรือน โดยระบุถึง คำสั่งแต่งตั้ง คอภ. เพื่อดำเนินการทั้งการเฝ้าระวัง การช่วยเหลือและการเยียวยา ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณให้รวดเร็ว เพื่อให้การช่วยเหลือและเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนได้ทันท่วงที
ขณะที่ กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนอิทธิพลพายุ “แมตโม” ส่งผลให้ช่วงวันที่ 6–7 ต.ค. 68 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกบางส่วนมีฝนตกหนักบางแห่ง
- วันที่ 6 ต.ค. 68 ฝนตกหนักบริเวณ จ.เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู และนครพนม
- วันที่ 7 ต.ค. 68 บริเวณ จ.เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ รวมทั้งด้านรับมรสุมของภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก
ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงระวังอันตรายจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาและลุ่มน้ำ ส่วนคลื่นลมทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง คลื่นสูง 1–2 เมตร และมากกว่า 2 เมตรในบริเวณฝนฟ้าคะนอง ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นจุดรับน้ำจากตอนบนและมีลักษณะคอขวด ทำให้การระบายน้ำลงทะเลยาก จำเป็นต้องเร่งระดมสรรพกำลังช่วยระบายน้ำจากพื้นที่ลุ่มต่ำให้ได้เร็วที่สุด
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปภ. ส่งทีมปฏิบัติการจากศูนย์ ปภ. เขต 2 สุพรรณบุรี พร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยลงพื้นที่อำเภอบางบาลและอำเภอพระนครศรีอยุธยา สนับสนุนการเร่งระบายน้ำและช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวม 3,054 ครัวเรือน 8,249 คน โดยจัดรถผลิตน้ำดื่ม รถบรรทุกติดตั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกล และเจ้าหน้าที่ชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต ปฏิบัติการสูบน้ำจากคลองสระบัวไปยังคลองขวด ระยะทางประมาณ 300 เมตร เพื่อเร่งระบายน้ำลงสู่แม่น้ำลพบุรี
จังหวัดปทุมธานี ซึ่งอยู่ในพื้นที่เฝ้าระวังระดับน้ำเจ้าพระยาสูงขึ้น โดยเฉพาะอำเภอเมืองปทุมธานีและอำเภอสามโคก ศูนย์ ปภ. เขต 1 ปทุมธานี ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำดีเซลขนาดใหญ่ อัตราการสูบ 28,000 ลิตรต่อวินาที บริเวณประตูระบายน้ำท้องคุ้ง ตำบลเชียงรากใหญ่ เพื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ปภ. เฝ้าระวังสภาพอากาศจากอิทธิพลของพายุ “แมตโม” อย่างใกล้ชิด หากพบปัจจัยเสี่ยงจะเร่งแจ้งเตือนประชาชนผ่านระบบ Cell Broadcast และช่องทางต่างๆ ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด หากได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทาง Line Official “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” (Line ID: @1784DDPM) หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับการเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุข นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของพายุ “แมตโม” ได้สั่งการให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่เสี่ยงเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข รองรับสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม โดยให้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ป้องกันผลกระทบต่อสถานพยาบาล อุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ พร้อมจัดทีมดูแลสุขภาพผู้ประสบภัยและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสื่อสารความเสี่ยงแก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคที่มากับน้ำท่วม อุบัติเหตุฟ้าผ่า จมน้ำ ไฟฟ้าช็อต และสัตว์มีพิษ
นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กำชับให้สำนักงานเขตสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และสถานพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงปฏิบัติตามแผนเตรียมเผชิญเหตุ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก เพื่อให้สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การขนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ขึ้นที่สูง จัดบริการนอกสถานพยาบาล จัดทีมแพทย์ฉุกเฉิน และวางแผนเคลื่อนย้ายหรือส่งต่อผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังให้เฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคทางเดินอาหาร โรคทางเดินหายใจ โรคจากยุง รวมถึงโรคติดเชื้อต่างๆ พร้อมดูแลสุขอนามัยในศูนย์พักพิง และจัดสถานที่พักสำรองสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ปลอดภัย ทั้งยังให้สำรองยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับป้องกันและควบคุมโรค เมื่อสถานการณ์คลี่คลายให้เร่งสำรวจความเสียหาย ตรวจสอบความมั่นคงของอาคารสถานพยาบาล และฟื้นฟูให้กลับมาเปิดบริการได้โดยเร็ว
ส่วนความช่วยเหลือด้านการเงิน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธนาคารห่วงใยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “บัวลอย” ออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ตามรายงานกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) 18 จังหวัด ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พะเยา กำแพงเพชร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ เพชรบูรณ์ หนองบัวลำภู ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ นครราชสีมา เลย อุดรธานี หนองคาย ปราจีนบุรี และสระแก้ว รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ตามที่ได้รับรายงานจาก ปภ. ในอนาคตเพื่อบรรเทาภาระและช่วยให้ผู้ประกอบการกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ดังนี้
1. มาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมในพื้นที่ภัยพิบัติ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 12 เดือน สำหรับสินเชื่อแบบมีระยะเวลา (Term Loan) และขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) หรือแฟคตอริ่งสูงสุด 180 วัน พร้อมพักดอกเบี้ยได้
2. มาตรการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ สำหรับลูกค้าเดิมในพื้นที่ภัยพิบัติ วงเงินกู้ 10% ของวงเงินเดิม ขั้นต่ำ 30,000 – สูงสุด 200,000 บาท (บุคคลธรรมดาสูงสุด 100,000 บาท / นิติบุคคลสูงสุด 200,000 บาท) อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และยกเว้นค่าธรรมเนียม
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีสินเชื่อเสริมทุนหลังน้ำลด อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก ผ่อนชำระได้นาน 10 ปี ปลอดเงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท เช่น
- สินเชื่อ SME Green Productivity
- สินเชื่อ ปลุกพลัง SME
- สินเชื่อ Beyond ติดปีก SME
สำหรับมาตรการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นทางเลือกโดยสมัครใจ ผู้ประกอบการที่ต้องการรับบริการ แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคาร เช่น สาขา SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ LINE Official Account : SME Development Bank เว็บไซต์ www.smebank.co.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357