สทนช. เตือนพายุ “แมตโม” ส่งผลกระทบฝนตกหนัก ภาคเหนือ อีสาน และตะวันออก 7-8 ต.ค. ยืนยันปีนี้ไม่ซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 2554

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน ลงพื้นที่บินสำรวจสถานการณ์น้ำในแม่น้ำยม อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยกล่าวว่า จังหวัดสุโขทัยเป็นพื้นที่รับน้ำสำคัญที่ประสบอุทกภัยเป็นประจำทุกปี ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรเสียหายและประชาชนได้รับความเดือดร้อนซ้ำซาก การลงพื้นที่เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนโดยตรง และนำข้อมูลจากพื้นที่มาประกอบการวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

ร้อยเอก ธรรมนัส ระบุว่า การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการที่ใช้พื้นที่ลุ่มต่ำใน อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก หรือที่เรียกว่า “บางระกำโมเดล” อาจไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย จึงจำเป็นต้องมีแนวทางเฉพาะพื้นที่ “กงไกรลาศโมเดล” ในวันนี้ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมชลประทาน ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยดำเนินการวางแผนและขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวโดยเร็ว ส่วนงบประมาณผมจะนำเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งท่านมีความเข้าใจในเชิงวิศวกรรมและมีความเด็ดขาด เชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้”

สำหรับปี 2568 จ.สุโขทัยประสบอุทกภัยจากพายุ 3 ลูก ได้แก่ “วิภา” “คาจิกิ” และ “บัวลอย” ส่งผลให้พื้นที่เกษตรเสียหายกว่า 46,000 ไร่ ประชาชนกว่า 5,000 ครัวเรือนได้รับผลกระทบ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 17 ล้านบาท ทั้งนี้ สุโขทัยมีข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการน้ำ เนื่องจากแม่น้ำยมไม่มีเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำรองรับ ทำให้มวลน้ำจาก จ.พะเยา และ จ.แพร่ ไหลเข้ามาด้วยอัตราสูงสุดกว่า 1,400 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้พื้นที่สุโขทัยต้องรับน้ำหลากเป็นประจำทุกปี พร้อมกำชับให้กรมชลประทานเร่งประสานกับหน่วยงานท้องถิ่น เข้าซ่อมแซมจุดที่ได้รับความเสียหาย เสริมคันดินในพื้นที่เสี่ยง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขัง ทั้งเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

จากนั้น ได้มอบถุงยังชีพจำนวน 840 ชุด หญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน และสุขาลอยน้ำจำนวน 10 หลัง ให้แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่

ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดว่า พายุ “แมตโม” จะส่งผลกระทบทางอ้อม ทำให้ระหว่างวันที่ 7–8 ตุลาคมนี้ จะมีฝนตกปานกลางถึงหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก

ทั้งนี้ จากการที่ช่วง 2–3 วันที่ผ่านมา มีฝนตกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนที่มีปริมาณน้ำมากเพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อน โดยให้ทยอยเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์เป็นวันละ 35 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ขณะที่เขื่อนภูมิพลยังคงระบายน้ำวันละ 5 ล้าน ลบ.ม. และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประสานกรมชลประทานปรับอัตราการระบายน้ำรวมให้อยู่ระหว่าง 40–50 ล้าน ลบ.ม./ วัน ตามสถานการณ์ พร้อมให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เตรียมความพร้อมในพื้นที่เสี่ยงหากจำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำ

ขณะเดียวกัน เนื่องจากปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนเริ่มลดลง กรมชลประทานได้ปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาจาก 2,500 เหลือ 2,400 ลบ.ม./วินาที ซึ่งช่วยลดระดับน้ำท้ายเขื่อนได้ประมาณ 20–25 เซนติเมตร โดยในช่วงฝนตกหนักจะควบคุมการระบายน้ำไม่เกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที พร้อมคงระดับน้ำหน้าเขื่อนที่ไม่เกิน +17 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) และระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกในอัตราที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่

เลขาธิการ สทนช. ย้ำให้ทุกหน่วยงานประเมินผลกระทบจากพายุ “แมตโม” อย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ ส่วนความกังวลของประชาชนว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 2554 นั้น สทนช. ยืนยันว่าสถานการณ์ปีนี้ไม่รุนแรงเทียบเท่าปี 2554 เนื่องจากในปีดังกล่าว ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุหลายลูกโดยตรงและอยู่ในสภาวะลานีญา ส่งผลให้ปริมาณฝนเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติถึงร้อยละ 24 และขณะนั้น 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ มีน้ำรวมเพียง 324 ล้าน ลบ.ม. น้ำไหลผ่านสถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ สูงสุดถึง 4,689 ลบ.ม./วินาที และระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุดถึง 3,726 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ในปี 2568 แม้จะมีพายุหลายลูก แต่ส่งผลกระทบต่อไทยเพียงทางอ้อม และอยู่ภายใต้สภาวะลานีญากำลังอ่อน ทำให้ปริมาณฝนโดยรวมสูงกว่าค่าปกติ ร้อยละ 7 ขณะนี้ 4 เขื่อนหลักยังรองรับน้ำได้อีกกว่า 2,185 ล้าน ลบ.ม.
มีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 ที่ 2,748 ลบ.ม./วินาที และระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา 2,500 ลบ.ม./วินาที แม้อาจเกิดน้ำหลากเฉพาะจุดจากฝนตกหนัก แต่ทุกหน่วยงานได้บูรณาการบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด

ขณะที่ นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน จ.น่านและสุโขทัย โดยได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และกำชับให้บริหารจัดการสถานการณ์อย่างเป็นระบบ เร่งช่วยเหลือประชาชนให้ทั่วถึง รวดเร็ว และเป็นธรรม โดยสถานการณ์น้ำทั้ง 2 จังหวัดมีแนวโน้มดีขึ้น ระดับน้ำลดลง และในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาไม่มีฝนตกเพิ่มเติม พร้อมเน้นย้ำให้ปฏิบัติงานภายใต้ระบบบัญชาการเหตุการณ์ ICS (Incident Command System) เพื่อให้การบริหารจัดการ การอำนวยการและการประสานงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและสามารถตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันท่วงที พร้อมสั่งการให้เร่งสำรวจความเสียหายให้ครบถ้วนทุกด้าน เพื่อให้ความช่วยเหลือตามระเบียบได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการจัดส่งถุงยังชีพให้ทั่วถึงและคำนึงถึงกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ พร้อมย้ำให้จังหวัดจัดทำข้อมูลสภาพปัญหาและความต้องการเครื่องจักรกล เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนให้ตรงกับสภาพพื้นที่ และสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อเพิ่ม ความแม่นยำในการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast

ในส่วนของกองทัพได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยจัดกำลังพล เครื่องมือ และยานพาหนะเข้าช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

จังหวัดอุดรธานี มณฑลทหารบกที่ 24 ร่วมกับโครงการชลประทานอุดรธานี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันขนไม้ยูคาและกรอกกระสอบทราย เพื่อทำแนวกั้นน้ำช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเอ่อล้นอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง โดยมีนายพิสิษฐ์ชัย อภัยปิยะกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ณ บ้านสูงแคน และบ้านดงเจริญ ต.หมูม่น อ.เมืองอุดรธานี

จังหวัดอุบลราชธานี กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 6 จัดกำลังพลเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชุมชนท่าบ้งมั้งและชุมชนเกตุแก้ว อ.วารินชำราบ ขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้เข้าสู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากน้ำท่วม โดยยังคงติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมกำลังและเครื่องมือให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จังหวัดอุตรดิตถ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 35 ร่วมกับกองร้อยช่วยเหลือประชาชน ป.21 พัน.20 เข้าดำเนินการฟื้นฟูโรงพยาบาลตรอน ต.บ้านแก่ง อ.ตรอน โดยขนย้ายเครื่องใช้สำนักงาน เครื่องมือทางการแพทย์ และฉีดน้ำทำความสะอาดภายในอาคารหลังน้ำลด

จังหวัดพิษณุโลก มณฑลทหารบกที่ 39 ร่วมกับคณะผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัล ลงพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านบางแก้ว หมู่ที่ 8 บ้านย่านใหญ่ และหมู่ที่ 10 บ้านแท่นนางงาม ต.ท่านางงาม อ.บางระกำ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จากโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้บริการตรวจสุขภาพประชาชน พร้อมมอบถุงยังชีพกว่า 300 ชุดให้แก่ครอบครัวผู้ประสบภัย ทั้งนี้ ได้ใช้เรือท้องแบนของกองทัพบก 3 ลำ ลำเลียงสิ่งของและทีมแพทย์ไปมอบให้ถึงบ้านผู้ที่ไม่สามารถเดินทางออกมารับได้

จังหวัดอ่างทอง กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ พร้อมจิตอาสาพระราชทาน ลงพื้นที่ชุมชนจระเข้ร้อง ต.จระเข้ร้อง อ.ไชโย ดำเนินการกรอกกระสอบทรายทำแนวป้องกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อป้องกันไม่ให้ไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน หลังฝนตกหนักต่อเนื่องจากอิทธิพลพายุ “แมตโม”

จังหวัดปทุมธานี กองพันทหารสื่อสารที่ 13 กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน จัดกำลังพลจิตอาสา 15 นาย ร่วมกับเทศบาลตำบลบางหลวง แจกจ่ายน้ำดื่มขนาด 5 ลิตร จำนวน 300 แกลลอน
ให้ประชาชนในพื้นที่ชุมชนเกาะลอย หมู่ 4 ต.บ้านฉาง และหมู่ 3 ต.บางหลวง อ.เมือง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มสูง

นอกจากนี้ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก โดยกองพันสื่อสารที่ 13 ได้ร่วมกับเทศบาลตำบลบางขะแยง ดำเนินการบรรจุทรายใส่กระสอบและเสริมแนวเขื่อนกั้นน้ำบริเวณชุมชนวัดเจตวงศ์ หมู่ 1 ต.บางขะแยง อ.เมืองปทุมธานี จำนวนกว่า 2,000 กระสอบ เพื่อป้องกันน้ำล้นตลิ่งและลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ทั้งนี้กองทัพบกยืนยันจะคงความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์น้ำจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง