นักวิชาการหนุน“เกษียณ 65 ปี”เหตุคนไทยอายุยืนขึ้น ถ้าไม่ปรับ สูงวัย จะเอาเงินที่ไหนยังชีพ

ผศ.ดร.ณัฏฐพัชร สโรบล อาจารย์ประจำภาควิชานโยบายสังคม การพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน สาขาเชี่ยวชาญสวัสดิการผู้สูงอายุ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีแนวคิดที่อยากให้มีการปรับอายุเกษียณเป็น 65 ปีว่า สนับสนุนแนวคิดนี้ เพราะเกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันถึงเวลาแล้วที่จะต้องเร่งแก้ไข 

เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่แค่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่กำลังก้าวไปสู่สังคมอายุยืน ซึ่ง มธ. กำลังศึกษาวิจัยเรื่องคนอายุ 100 ปีขึ้นไป พบว่า ประเทศไทยมีคนอายุยืนเกิน 100 ปี กว่า 4 หมื่นคน ติดอันดับที่ 5 ของโลก อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จำนวนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น หากสังคมไทยยังคงยึดการเกษียณที่ 60 ปี นั่นหมายความว่า ผู้เกษียณจะมีช่องว่างของอายุมากถึง 40 ปี ที่เป็นการใช้ชีวิตโดยไม่มีงานทำ แล้วจะยังชีพด้วยเงินจากไหน

ทั้งนี้ ประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ระดับสุดยอดอย่างญี่ปุ่น ฟินแลนด์ หรือกระทั่งสหรัฐอเมริกา จะพบว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้มีการนิยามช่วงวัยผู้สูงอายุไว้ที่ 65 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เมื่อปี 2564 ขยายไปถึงอายุ 70 ปีแล้ว ขณะที่ประเทศไทยยังคงอยู่ที่ 60 ปี 

ผศ. ดร.ณัฏฐพัชร ยอมรับว่า การขยายอายุเกษียณค่อนข้างมีความซับซ้อน เกินกว่าจะสำเร็จได้ภายในเวลาที่จำกัด อย่างที่ผ่านมาภาควิชาการทั้งด้านสังคมศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ก็พยายามศึกษาวิจัยและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับการขยายอายุเกษียณมาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ สมัยรัฐบาล แต่ก็ยังไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพราะมักจะไปติดขัดเรื่องการเงินการคลังของประเทศและกระบวนการทางกฎหมาย

สำคัญไปกว่านั้น ต้องมานั่งพูดคุยกันด้วยว่าภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมจะเอาด้วยหรือไม่ เพราะหากนโยบายนี้ครอบคลุมเพียงแค่ข้าราชการ ซึ่งในปี 2568 มีจำนวนอยู่เพียงแค่ 1.75 ล้านคน แต่มีประชากรที่เป็นแรงงานมีอยู่ทั้งหมดราว 38 ล้านคน ครอบคลุมทั้งภาคธุรกิจ ภาคเอกชน พนักงานบริษัท ฯลฯ ดังนั้นคนที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ก็จะมีเพียงแค่ไม่กี่คนอยู่ดีและไม่ตอบโจทย์ต่อการแก้สถานการณ์วิกฤตสังคมสูงวัยระดับสุดยอด
ผศ. ดร.ณัฏฐพัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า การขยายการเกษียณอายุอาจไม่ได้กระทบแรงงานนอกระบบที่มีอยู่ประมาณ 21 ล้านคน เพราะเป็นลักษณะการทำงานที่ไม่มีระบบเกษียณ แต่แรงงานในระบบที่มีอยู่ประมาณ 18 ล้านคนต่างหากที่จะได้รับผลกระทบจากการไร้หลักประกันเรื่องเงินยังชีพที่ไม่เพียงพอ ไม่สอดรับกับค่าใช้จ่ายในชีวิตจริง กลุ่มแรงงานเหล่านี้จึงมีความต้องการที่จะทำงานต่อไป

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับมุมมองทางสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุในองค์กร เช่น ข้อโต้แย้งว่าเมื่อบุคคลมีอายุเกิน 60 ปีไปแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานย่อมลดลง แต่ในฐานะที่ทำงานด้านผู้สูงอายุ อยากจะอธิบายตามหลักการทางวิชาการว่าคนเรามีอายุ ที่เรียกว่าอายุตามปฏิทินปีเกิดและอายุชีวภาพ ซึ่งเป็นไปตามสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของแต่ละบุคคล โดยศาสตร์ของทางพฤฒาวิทยาให้การยอมรับว่าอายุตามปฏิทินกับอายุทางชีวภาพย่อมแตกต่างกัน

ดังนั้นควรสร้างความเข้าใจแก่สังคมว่า ไม่ใช่คนอายุ 60 ปีทุกคนที่มีปัญหาเรื่องทักษะการทำงาน ความเชื่องช้า หรือการเท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวกับอายุเสมอไปและถ้าสังคมยังปฏิเสธว่า การทำงานกับคนสูงอายุมีช่องว่างในการทำงานมากเหลือเกินก็เท่ากับว่า ความพยายามของสังคมไทยในการสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันระหว่างวัยดูจะห่างไกลมากขึ้นและเป็นไปได้ยาก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง