สธ. ขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่ฟอกไตฟรีทุกแห่ง พาณิชย์ ร่วมมือ รพ.เอกชน รู้ราคายาก่อนจ่าย Kick Off “สุขกาย สบายกระเป๋า” 28 ต.ค. 68

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29-30 กันยายน 2568 โดย 1 ในนโยบาย 5 ด้านหลัก นโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่ตั้งเป้าหมายสำคัญมุ่งสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพของประชาชน จากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Coverage Scheme – UCS) หรือบัตรทอง 30 บาท กลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมหรือสวัสดิการข้าราชการ ผู้มีสิทธิ์ ได้แก่ บุคคลที่มีสัญชาติไทย มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่ไม่มีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลอื่นที่รัฐจัดให้ และต้องเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิประกันสังคม หรือเป็นผู้ที่ลาออกและเกษียณจากประกันสังคมแล้วเท่านั้นถึงสามารถใช้สิทธินี้ได้ ไม่เสียค่ารักษาพยาบาล ครอบคลุมการรักษาโรคทั่วไป โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคไต และบริการฟอกไต

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2568 โดยมี นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมประชุม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” และขยายบริการปลูกถ่ายไต โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางให้ผู้ป่วยสามารถเลือกวิธีฟอกไตตามคำแนะนำแพทย์ พร้อมตรวจสอบคุณภาพ ศูนย์ไตเทียมอย่างเข้มงวด และควบคุมค่าใช้จ่ายในระบบ ตั้งแต่การป้องกันโรคไตจนถึงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะขยายศูนย์ปลูกถ่ายไตและจัดตั้งทีมผ่าตัดนำไตออก (Renal Retrieval Team: RRT) ครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ขณะที่ สปสช. จะปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายรองรับนโยบายดังกล่าว พร้อมเปิดศูนย์ปลูกถ่ายไตแห่งใหม่ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์

ที่ประชุมมีมติให้ สปสช. กำกับไม่ให้หน่วยบริการเรียกเก็บค่าฟอกไตเพิ่มเติมจากผู้ป่วย และดำเนินคดีหากฝ่าฝืน มอบคณะกรรมการควบคุมคุณภาพบริการพิจารณามาตรฐานเพื่อสร้างความมั่นใจ และให้คณะอนุกรรมการจัดทำแผนงบประมาณและแนวทางปฏิบัติรองรับนโยบายภายในเดือนพฤศจิกายน 2568

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบ ของบประมาณเพิ่มเติมปี 2569 จำนวน 17,185.84 ล้านบาท เพื่อรองรับค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังและบริการสาธารณสุขอื่นที่มีผลงานเกินเป้าหมาย

สำหรับเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุข

  • “30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” พร้อมปรับหลักเกณฑ์เบิกจ่าย สปสช. ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั่วประเทศใช้ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ครบ 100% ภายในเดือนธันวาคม 2568
  • เปิดหน่วยบริการรังสีรักษาเพิ่มอีก 12 แห่ง ภายในปี 2570
  • ขยายศูนย์ปลูกถ่ายไตครบ 12 เขตสุขภาพ ตั้งเป้าปลูกถ่ายไต 3,000 ราย ภายในเดือนมกราคม 2569
  • เดินหน้าขับเคลื่อน 3 นโยบายหลัก Wellness Hub (ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ), Medical Hub (ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ) และ Advanced Medicine (ผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง)

ด้านกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” เพื่อเปิดเผยราคายาในโรงพยาบาลเอกชนและเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนสามารถซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้ โดยยึดหลักสิทธิประชาชนในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นไปตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล โดยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขับเคลื่อนเพื่อช่วยลดค่าครองชีพประชาชน ซึ่งมีหน่วยงานร่วมดำเนินงาน ได้แก่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 300 แห่ง จาก 354 แห่ง เช่น เครือ BDMS ธนบุรี BCH บางปะกอก-ปิยะเวช รามคำแหง-วิภาราม พริ้นซ์ จุฬารัตน์ นวมินทร์ สินแพทย์ รวมถึงโรงพยาบาลหัวเฉียว วิภาวดี และบีแคร์

ความร่วมมือดังกล่าวจะกำหนดให้โรงพยาบาลแสดง “รายการยาและค่ายา” อย่างชัดเจนในใบแจ้งค่าใช้จ่ายหรือใบเสร็จรับเงิน พร้อมออกใบสั่งยาให้ผู้ป่วยนำไปซื้อยาจากร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีมากกว่า 20,000 แห่ง โดยกรมการค้าภายใน และ อย. จะประชุมเพื่อกำหนดคุณสมบัติและแนวทางลงทะเบียนร้านขายยาในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ และจะเปิดตัวโครงการ (Kick Off) อย่างเป็นทางการวันที่ 28 ตุลาคม 2568

นายวิทยากร ระบุว่า โครงการนี้ถือเป็น Quick Big Win MOU ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานบริการผู้บริโภค ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และส่งเสริมสิทธิในการเลือกซื้อยาได้อย่างโปร่งใส ในระยะต่อไปจะขยายความร่วมมือไปยังคลินิกเอกชน พร้อมกำกับโครงสร้างราคายาให้เหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการลดภาระค่ารักษาของประชาชน เพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และยกระดับมาตรฐานการให้บริการของโรงพยาบาลเอกชน จะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลภาครัฐในภาพรวมได้อีกด้วย

ขณะที่ นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการตรวจและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว เปิดกิจกรรม Kick Off และเยี่ยมชมศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) จังหวัดตาก โดยมีหน่วยงานรัฐและองค์กรระหว่างประเทศร่วม พร้อมโฟนอินจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี เพื่อเดินหน้านโยบายเร่งรัดให้แรงงานต่างด้าว ซื้อประกันสุขภาพ ลดภาระค่ารักษาพยาบาลของประเทศ และควบคุมโรคบริเวณชายแดนอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นนโยบาย Quick Win ของรัฐบาล โดยเริ่มนำร่อง (One Stop Service – OSS) ใน 4 จังหวัดชายแดน ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี เพื่อให้ตรวจสุขภาพและซื้อประกันได้ในจุดเดียว พร้อมกันนี้ ได้พัฒนาระบบ FDH–Migrant Platform เป็นระบบกลางเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิและบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (HINT) เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ ออกใบรับรองแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ และซื้อประกันออนไลน์ได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยในเฟสแรกเริ่มใน 4 จังหวัด ก่อนขยายเป็น 10 จังหวัด และครอบคลุมทั่วประเทศภายในเดือนมกราคม 2569

นอกจากนี้ อีกหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน Quick Win ที่ต้องดำเนินการภายใน 4 เดือน คือ “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” โดยกระทรวงสาธารณสุขจะพัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” สู่ “หมอพร้อม+” ให้เป็น Super App ด้านสุขภาพหลักของประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์แบบครบวงจร ทั้งการตรวจสอบสิทธิ นัดหมายแพทย์ ดูประวัติการรักษา รับยา ปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และข้อมูลส่งเสริมสุขภาพได้ในที่เดียว

เป้าหมายของโครงการนี้เพื่อลดความซ้ำซ้อนจากแอปพลิเคชันด้านสุขภาพของภาครัฐที่มีอยู่กว่า 50 แอปพลิเคชัน ให้เหลือเพียง “Super App เดียว” ที่เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ และปลอดภัยตามมาตรฐานความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมร่วมกับหน่วยงานหลัก อาทิ โรงเรียนแพทย์ กรุงเทพมหานคร สปสช. สำนักงานประกันสังคม สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฯ และแพทยสภา เพื่อวางแนวทางเชื่อมโยงข้อมูลการรักษาพยาบาลทั่วกรุงเทพฯ

นายพัฒนา ระบุว่า ความร่วมมือนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบสุขภาพดิจิทัลที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะการสนับสนุนจากกระทรวงแรงงานที่จะเชื่อมข้อมูลผู้ประกันตนกว่าสิบล้านคนเข้าสู่ระบบสุขภาพแห่งชาติ ช่วยให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยแบบครบถ้วน ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา ตั้งเป้าให้ประชาชนใช้บริการ “หมอพร้อม+” เฟสแรกได้ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของคนไทยทุกคน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง