Quick Big Win พลังงาน ลดรายจ่ายประชาชน ลดราคาน้ำมัน ตรึงค่าไฟ 3.94 บาท งวด ม.ค. – เม.ย. 69

จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการต้องวางรากฐานของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อ “การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย” ให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ “การลดราคาพลังงาน” เพื่อให้ประชาชนมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และ “การส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าภาคครัวเรือนและกิจกรรมทางการเกษตร” เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชมชนและเพิ่มพลังงานสีเขียวตามความต้องการของทุกภาคส่วน

“นโยบายด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ” โดยประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพุทธศักราช 2593 (คริสต์ศักราช 2050) เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 กระทรวงพลังงาน โดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แถลงนโยบายสำคัญที่ทางกระทรวงกำลังเร่งผลักดันให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทั้งด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุน การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ และการส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สำหรับ “Quick Big Win” ด้านพลังงาน ประกอบด้วย

1. การสร้างรายได้ ลดรายจ่ายด้านพลังงานภาคประชาชน

โครงการโซลาร์ภาคประชาชน เร่งขับเคลื่อน “โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร” กว่า 1,200 ระบบครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ คาดว่าจะเกิดเม็ดเงินผ่านการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.6 ล้านตันต่อปี
โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้กว่า 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.8 ล้านตันต่อปี โดยจะสามารถประกาศรับซื้อไฟฟ้าได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568
การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์เซลล์

คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ได้กว่า 20,250 ล้านบาทลดการใช้ไฟฟ้าได้ 585 ล้านหน่วยต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2.8 แสนตันต่อปี

เร่งอนุมัติการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของ กฟผ. (เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณและเขื่อนศรีนครินทร์) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ เกิดการลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.8 ล้านตันต่อปี

2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม

เร่งดำเนินการ “โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง” หรือ Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์คาดว่าจะเสนอ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568เกิดเม็ดเงินลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 800 เมกะวัตต์ รองรับธุรกิจ Data Center 16 ราย รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
ในภาคอุตสาหกรรมผ่านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์ผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริม
การอนุรักษ์พลังงาน

3. การสร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero 2050 เร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือ แผน PDP ที่จะมีการทบทวนรายละเอียดให้การผลิตไฟฟ้าตอบโจทย์กับเป้าหมาย Net Zero 2050 ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีการเริ่มโครงการพัฒนาการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ภายในปี 2577 และระหว่างปี 2577 ถึงปี 2607 (30 ปี)
จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี

สำหรับนโยบายด้านพลังงาน ที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ได้แก่

– วันที่ 26 กันยายน 2568 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของก๊าซหุงต้ม (LPG) เพื่อคงราคาจำหน่ายก๊าซ LPG อยู่ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ต่อไปอีก 1 เดือน (1-31 ต.ค. 68) โดยมาตรการเดิมหมดอายุเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 68

– วันที่ 3 ตุลาคม 2468 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร และขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาเบนซินลง 50 สตางค์ต่อลิตรด้วย ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการน้ำมันลดเหลือ 31.44 บาทต่อลิตร (จากเดิม 31.94 บาท/ลิตร) และกลุ่มเบนซินทุกชนิดลดลง 50 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2568

นอกจากนี้ ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2569 ภายหลังนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแถลงนโยบายเร่งเครื่อง Quick Big Win มุ่งลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนเป็นลำดับแรก ว่า ในช่วงปลายปี ปกติความต้องการพลังงานในตลาดโลกโดยเฉพาะก๊าซค่อนข้างสูง เพื่อให้ความอบอุ่น ซึ่งส่งผลให้ราคาก๊าซปรับตัวสูงขึ้น แต่ทว่าช่วงนี้ซัพพลายก๊าซมีออกมาค่อนข้างมาก จึงทำให้ราคาขยับไม่แรงมาก ฉะนั้นมีแนวโน้มไปทางบวกในการที่จะสามารถดูแลค่าไฟ แต่ทั้งนี้ก็ต้องประมวลข้อมูลทั้งหมดให้รอบด้าน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลทุกอย่าง ไม่เฉพาะราคาพลังงานอย่างเดียว ต้องคำนวนค่าไฟที่นำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงการคืนหนี้ค่า Ft และค่าก๊าซ ให้กับ กฟผ.ที่ยังเหลือหนี้อยู่ราว 6.6 หมื่นล้านบาท และ ปตท.ที่ยังคงเหลือหนี้ค่าก๊าซอยู่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ที่แบกรับภาระต้นทุนแทนประชาชนในช่วงวิกฤตราคาพลังงาน

ดังนั้น การตรึงค่าไฟให้อยู่ในระดับเหมาะสม หรือระดับเดียวกับปัจจุบัน ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย
ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็มีความเป็นไปได้ ส่วนจะลดลงได้อีกหรือไม่จะต้องดูข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้ง

ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เน้นย้ำการวางกรอบการทำงาน “Quick Big Win” ไว้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีระยะเวลาในการทำงานที่ค่อนข้างจำกัด เป้าหมายความสำเร็จจึงต้องมีความชัดเจน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนเป็นลำดับแรก ซึ่งกระทรวงพลังงานเพิ่งได้มีการตรึงราคาก๊าซหุงต้มและลดราคาน้ำมันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในอนาคตก็จะมีเป้าหมายในการลดค่าไฟ แต่ยังต้องผ่านการหารือกับหลายหน่วยงานก่อน

สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งโครงการโซลาร์รูปแบบต่างๆ จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ กฟผ. สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในราคาต้นทุนที่ถูกลง การส่งเสริมความแข็งแกร่งด้านการผลิตในพื้นที่เศรษฐกิจ EEC รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม กระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดมูลค่าการลงทุนสูงถึง 700,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 10 ล้านตันต่อปี

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 “เมื่อโลกเปลี่ยน..ประเทศไทยไปทางไหน ?” โดยได้กล่าวถึงโจทย์สำคัญในขณะนี้ว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ “AI” ประเทศที่ปรับตัวช้าจะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ และ “อำนาจต่อรอง” ในเวทีโลกด้วย โดยความหมายของคำว่า “Reset” วิธีคิด คือ การกลับมาทบทวนสิ่งที่ทำ การ Reset ประเทศจึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนโยบาย แต่เป็นการเปลี่ยน “วิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือ” ซึ่งต้องปรับตัวไปพร้อมๆ กัน

การ “Reset ด้านสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล” ซึ่งประเทศกำลังเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง