รวบเครือข่ายบริษัทคริปโตเถื่อน ฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านต่อเดือน

พลตำรวจตรี ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 (ผบก.สอท.3) หรือตำรวจไซเบอร์  พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ “ทลายบริษัท คริปโต เถื่อน ฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาทต่อเดือน

สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง สูญเงินกว่า 3,000,000 บาท ตำรวจไซเบอร์ จึงได้สืบสวนพร้อมทั้งประสานข้อมูลจากทีมสืบสวนทุจริตด้านดิจิทัลฝ่ายป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กระทั่งพบว่าขบวนการดังกล่าวได้ใช้บัญชีม้าถอนเงินที่หลอกลวงได้จากธนาคารภายในประเทศไทย ก่อนนำเงินสดไปซื้อเงินสกุลดิจิทัลเพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน จากบริษัท แอ้นท์ เคอร์เรนซี แอคเคาท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลที่ไม่ได้จดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) จากการตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเงิน พบว่าบริษัทดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาทต่อเดือน

ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาในขบวนการ 11 คน ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนร่วมกันซ่องโจร และร่วมกันฟอกเงินฯ

ก่อนเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นจำนวน 7 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ราชบุรี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา, เชียงใหม่ และชลบุรี โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 9 คน ประกอบด้วย กรรมการบริษัท บริษัท แอ้นท์ เคอร์เรนซี แอคเคาท์ จำกัด 1 ราย ,ผู้ทำหน้าที่ฟอกเงินสดเป็นสกุลเงินดิจิทัล 1 ราย ,ผู้เปิดบัญชีม้าและถอนเงินสด 2 ราย ,ผู้ควบคุมบัญชีม้าไปถอนเงินสดและตัดตอนเส้นทางการเงิน 1 ราย ,และผู้เปิดบัญชีม้า 4 ราย

พร้อมทั้งสามารถตรวจยึดของกลางได้หลายรายการ อาทิ โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง, แท๊บเล็ต 1 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร 22 เล่ม และบัตรกดเงินสด ATM จำนวน 5 ใบ 

เบื้องต้น ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลาง ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมทั้งจะเร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี และสืบสวนขยายผลติดตามเส้นทางการเงินของขบวนการดังกล่าว เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องนำกลับมาเข้าสู่กระบวนการเฉลี่ยทรัพย์คืนให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง