นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย ณ โรงเรียนเทศบาลตะพานหินวิทยาคาร อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะไม่ทอดทิ้งประชาชน โดยในสัปดาห์หน้ารัฐบาลจะอนุมัติเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ 9,000 บาท พร้อมมอบหมายให้นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมพิจารณามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัยที่รัฐบาลไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน โดยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เร่งดูแลการลงทะเบียนให้ครอบคลุมทุกครัวเรือน เพื่อให้การโอนเงินเยียวยาโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ถึงมือประชาชนโดยตรง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “คนละครึ่งพลัส” แจกค่าใช้จ่ายวันละ 200 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการปรับเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณแล้ว ทั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างจัดทำแผนฟื้นฟูระบบระบายน้ำและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก โดยจะเร่งพัฒนาแหล่งน้ำสำคัญ เช่น บึงสีไฟ และหาทางผันน้ำสู่อ่าวไทยให้เร็วขึ้น ผ่านแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ด้านนายภราดร ระบุว่า การเยียวยารอบแรกจะเสนอ ครม. วันที่ 14 ต.ค. ครอบคลุมกว่า 6 แสนราย ใช้งบกลางกว่า 6,100 ล้านบาท และจะเสนอเพิ่มเติมเป็นรอบต่อไป เพื่อให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว
สำหรับ จ.พิจิตร ได้รับผลกระทบจากพายุวิภา พายุคาจิกิ พายุหนองฟ้า และพายุบัวลอย ตั้งแต่เดือน ก.ค.–ก.ย.68 ทำให้บ้านเรือนเสียหายกว่า 13,900 หลังคาเรือน และพื้นที่เกษตรกว่า 34,000 ไร่ โดยเฉพาะ อ.ตะพานหิน ได้รับผลกระทบใน 10 ตำบล 37 หมู่บ้าน บ้านเรือนถูกน้ำท่วมกว่า 1,033 หลัง รัฐบาลและจังหวัดได้บูรณาการทุกภาคส่วนในการให้ความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงแล้ว
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางมายังเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เพื่อเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม นายอนุทินกล่าวว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำตั้งแต่ จ.พิจิตร ชัยนาท และ จ.สิงห์บุรี พบพื้นที่น้ำท่วมขังจำนวนมาก ซึ่งต้องเร่งจัดการโดยเร็ว โดยขณะนี้เข้าสู่ปลายฤดูฝน หากไม่มีฝนเพิ่ม สถานการณ์น่าจะคลี่คลายภายใน 2–3 สัปดาห์ พร้อมกำชับทุกหน่วยเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รัฐบาลขับเคลื่อนการจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการผ่านคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) โดยตั้งคณะกรรมการย่อย 2 ชุด ได้แก่ 1. ด้านการเยียวยา มีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน 2. ด้านการบริหารจัดการน้ำ มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน พร้อมมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประสานหน่วยงานงบประมาณพิจารณาเพิ่มหลักเกณฑ์การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนานกว่า 7 วันถึง 90 วัน โดยให้เร่งช่วยเหลือทันที
สำหรับแผนระยะยาว รัฐบาลจะปรับแนวทางจากงบเยียวยาประมาณปีละ 30,000 ล้านบาท ไปสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำอย่างยั่งยืน เช่น โครงการบางบาล–บางไทร เจ้าพระยา–ป่าสัก และอีก 8 โครงการสำคัญ เพื่อสร้างระบบระบายน้ำถาวรและใช้ประโยชน์ได้ทั้งฤดูน้ำหลากและหน้าแล้ง พร้อมสั่งการเร่งด่วน 3 ประการ ได้แก่
- ให้กรมชลประทานปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนหลัก 4 แห่งให้เหมาะสมกับสถานการณ์
- ให้ สทนช. เร่งรัด วิธีการและโครงการวางแผนการระบายน้ำในระยะยาว โดยร่นเวลาเริ่มโครงการต่างๆ อย่างรวดเร็ว
- ให้หน่วยงานในพื้นที่บูรณาการทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง แก้ปัญหาความซ้ำซ้อนในการดูแลประตูน้ำ หากเกินอำนาจให้รายงานตามลำดับถึงกระทรวงมหาดไทยและนายกรัฐมนตรี
เลขาธิการ สทนช. รายงานสถานการณ์ในระยะถัดไปว่า คาดปริมาณน้ำผ่านสถานี C2 จ.นครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 10–18 ต.ค. อยู่ที่ 2,400–2,700 ลบ.ม./วินาที โดยแนวโน้มครึ่งหลังของเดือนจะเข้าสู่ภาวะปกติ และเมื่อระดับน้ำลดลงถึง 1,700 ลบ.ม./วินาที จะเร่งระบายน้ำจากทุ่งรับน้ำลงสู่ทะเล พร้อมเดินหน้าโครงการบางบาล–บางไทร ชัยนาท–ป่าสัก และป่าสัก–อ่าวไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำและลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อนอย่างยั่งยืน
สำหรับ จ.ชัยนาท ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบใน อ.สรรพยา 5 ตำบล รวมประมาณ 1,700 ครัวเรือน ทุกคนปลอดภัย ความเสียหายทางการเกษตรประมาณ 400 ไร่ ได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ 50 เครื่อง และแจกถุงยังชีพแล้วกว่า 3,700 ชุด เมื่อระดับน้ำลด จะเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี นายกรัฐมนตรีได้พบปะประชาชนผู้ประสบอุทกภัย กว่า 500 คน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลชีน้ำร้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้ไม่อาจต่อสู้กับธรรมชาติได้ แต่รัฐบาลจะทำทุกทางเพื่อลดความเสียหายให้ประชาชน พร้อมย้ำแนวคิดเปลี่ยนน้ำร้ายให้เป็นน้ำดีด้วยการป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝนและกักเก็บน้ำใช้ในฤดูแล้ง โดยมอบหมายกรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ตำบลชีน้ำร้าย และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่เผชิญปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ พร้อมตั้งเป้าแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้หมดไปโดยเร็ว ด้วยความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวของทุกฝ่าย
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลเดินหน้านโยบายพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งภาคเกษตร สาธารณูปโภค ความมั่นคง และสาธารณสุข โดยเน้นให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นภาระของลูกหลาน พร้อมขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพและให้กำลังใจกันและกัน รัฐบาลยืนยันจะทำงานเต็มที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน
ขณะที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด และให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมสั่งการศูนย์ ปภ. เขต
ทั่วประเทศ ตรวจสอบและจัดสรรเครื่องจักรกลสนับสนุนการปฏิบัติงานให้รวดเร็วและทั่วถึง
ภาคกลาง น้ำเอ่อล้นตลิ่งจากการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ศูนย์ ปภ. เขต 1 ปทุมธานี ได้ส่งเครื่องสูบน้ำขนาด 14 นิ้ว อัตราการสูบ 28,000 ลิตร/นาที จำนวน 1 เครื่อง เร่งระบายน้ำจากคลองวัดป่ากลางทุ่ง ต.บางขะแยง อ.เมืองฯ จ.ปทุมธานี ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระดับน้ำโดยรวมทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง แต่บางพื้นที่ยังได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ จ.บึงกาฬ สะพานข้ามห้วยลำบังบาตร ต.บ้านต้อง อ.เซกา ชำรุด ศูนย์ ปภ. เขต 7 สกลนคร จึงสนับสนุนสะพานเบลีย์ 1 ชุด พร้อมรถขุด รถบรรทุก รถกู้ภัย และเจ้าหน้าที่ เข้าพื้นที่เพื่อเร่งติดตั้งสะพานชั่วคราวให้ประชาชนใช้สัญจร
ภาคเหนือ ระดับน้ำลดลงเกือบทุกพื้นที่ แต่ยังคงปฏิบัติการสูบน้ำและช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ จ.พิจิตร ที่ผนังกั้นน้ำแตก ศูนย์ ปภ. เขต 7 กำแพงเพชร ใช้เครื่องสูบน้ำขนาด 14 นิ้ว และเครื่องสูบน้ำบรรเทาอุทกภัยรวม 4 เครื่อง ระบายน้ำในเขตเทศบาลเมืองตะพานหิน พร้อมผลิตน้ำดื่มกว่า 4,900 ขวด และจัดอาหาร น้ำดื่ม แจกจ่ายผู้ประสบภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว
ทั้งนี้ ช่วงวันหยุดยาว ปภ. ขอให้ประชาชนที่เดินทางผ่านพื้นที่น้ำท่วมเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะเส้นทางที่ถนนลื่นหรือดินโคลนถล่ม สังเกตป้ายเตือนและปฏิบัติตามคำแนะนำของทางราชการ หากได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งเหตุได้ทาง Line Official “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” (Line ID: @1784DDPM) หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง