ไทยเริ่มเก็บกู้ระเบิดบ้านหนองหญ้าแก้วได้พื้นที่ปลอดภัย 38,256 ตร.ม. กองทัพภาคที่ 1 ย้ำเป็นพื้นที่ไทยไม่ละเมิด GBC

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ครั้งที่ 13/2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายอนุทิน กล่าวภายหลังประชุมเสร็จสิ้นว่า อาจจะลงพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ในเวลาที่เหมาะสม ส่วนแผนผลักดันชาวกัมพูชาที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วของกองทัพบก ได้รับรายงานแล้วมีความพร้อมทุกอย่างแต่ไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นเรื่องความลับสุดยอดต้องให้ความสำคัญ

ด้านนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยผลการประชุม สมช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า การประชุมมีวาระสำคัญติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำจุดยืนของไทยตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงไว้ 4 ข้อ ได้แก่ 1. กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ 2. การเก็บกู้ทุ่นระเบิด 3.การร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรม และ 4. ความร่วมมือในการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีปัญหา โดยที่ประชุมไม่มีการหารือหรือประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจังหวัดสระแก้ว พื้นที่พิพาทบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วที่ครบกำหนดให้ชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต้องอพยพออกจากแนวชายแดนตามที่ฝั่งไทยประกาศไว้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ฝ่ายทหารหรือหน่วยงานความมั่นคงดำเนินการอยู่ รวมถึงไม่มีการหารือประเด็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ส่งหนังสือมายังนายกรัฐมนตรี เรื่องขอเป็นตัวกลางเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

ขณะที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับคณะผู้แทนภาคเอกชนไทยในกัมพูชา โดยยืนยันว่า รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ รับทราบและเข้าใจถึงความกังวลของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา จึงต้องการรับฟังและหาแนวทาง หรือมาตรการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น และแม้จะเกิดสถานการณ์ความขัดแย้ง แต่ไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เนื่องจากความก้าวหน้าและเสถียรภาพของกัมพูชา ย่อมผูกพันถึงความก้าวหน้าและเสถียรภาพของไทยเช่นกัน และสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ไทยต้องการให้เกิดขึ้น แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยพยายามขอเจรจาหารือ เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธีผ่านกลไกการเจรจาทวิภาคี แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงบ่ายเบี่ยงและพยายามขยายประเด็นความขัดแย้งไปสู่เวทีนานาชาติ ขณะนี้ สิ่งสำคัญคือการที่จะต้องมาหารือกัน เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ ภายใต้จุดยืนในการรักษาอธิปไตยไทย และเงื่อนไข 4 ข้อที่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำ ส่วนกรณีที่มีประเทศมหาอำนาจต้องการเป็นตัวกลางในการประสาน เพื่อให้เกิดความคืบหน้าในการแก้ไขความขัดแย้ง ไทยก็ไม่ขัดข้อง แต่ย้ำว่า ต้องเป็นเพียงการประสานเท่านั้น พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ แม้หนทางไปสู่สันติภาพไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราทำเต็มที่

ทางด้านนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการหารือกับคณะผู้แทนภาคเอกชนไทยในกัมพูชา ว่าการหารือครั้งนี้มีผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมประมาณ 90 คน ทั้งภาครัฐ ภาคธนาคาร และผู้แทนภาคเอกชนจากหลายกลุ่มธุรกิจ ตลอดจนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าประจำจังหวัดที่เกี่ยวข้องทั้ง 7 จังหวัดในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา โดยภาคธุรกิจต้องการให้ภาครัฐพิจารณาและวางมาตรการช่วยเหลือ เช่น มาตรการด้านภาษี มาตรการทางการเงิน วงเงินสินเชื่อ การช่วยเหลือด้านค่าไฟ เป็นต้น จากการรับฟังเสียงสะท้อนของภาคธุรกิจหลายภาคส่วนเห็นตรงกันว่าการคว่ำบาตรสินค้าไทยของชาวกัมพูชาส่งผลกระทบกับภาคเอกชนอย่างมาก ในที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงตัวเลขหรือสถิติ แต่เรามีตัวเลขผลกระทบจากการค้าชายแดน ทราบว่ามูลค่าการค้าชายแดน คิดเป็น 50% ของมูลค่าการค้ารวม โดยมาตรการของภาคเอกชน ขณะนี้มีมาตรการชั่วคราวคือไม่ขนส่งสินค้าทางบกแต่ใช้การขนส่งสินค้าทางเรือหรือทางอากาศแทน ซึ่งเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้น ทุกฝ่ายยังรอดูว่าการที่เราเริ่มเข้าสู่กระบวนการเจรจาทวิภาคีผ่านกลไกต่าง ๆ จะนำไปสู่สันติภาพได้หรือไม่ เชื่อว่าจะนำไปสู่ข้อตกลงได้และเมื่อมีความชัดเจนสถานการณ์จะดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาคธุรกิจไม่ได้มีข้อเสนอต้องการให้เปิดด่านชายแดน เนื่องจากเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องความปลอดภัย

อย่างไรก็ตามจะมีการรวบรวมข้อเสนอเหล่านี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดเป็นนโยบายที่ช่วยเหลือภาคเอกชนตามข้อเรียกร้อง โดยจะนำเข้าที่ประชุมในสัปดาห์หน้า หากไม่ทันยืนยันว่าจะเสนอเข้าที่ประชุมภายในเดือนตุลาคมนี้

สำหรับสถานการณ์บริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งวันที่ 10 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ฝ่ายไทยกำหนดให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทย ต้องอพยพออกจากแนวชายแดน ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 โดย

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ณ เวลา 14.00 น. ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว บริเวณพื้นที่บ้านหนองจาน ฝ่ายไทยมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งสื่อมวลชน ประมาณ 200 คน รวมตัวแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการปกป้องอธิปไตยของไทย ขณะที่พื้นที่ฝั่งตรงข้ามฝ่ายกัมพูชาเริ่มมีประชาชน เด็ก พระสงฆ์ ทยอยรวมตัวเข้าพื้นที่ การปฏิบัติการที่สำคัญ หน่วยได้จัดกำลังระวังป้องกันในพื้นที่ตอนใน

ส่วนพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝ่ายไทยมีมวลชนจำนวนหนึ่งไม่มีความเคลื่อนไหวที่สำคัญ ส่วนในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามกับฝ่ายกัมพูชาพบความเคลื่อนไหวของประชาชน และผู้สื่อข่าวประมาณ 100 คน บริเวณรั้วลวดหนามและกระจายรอบหมู่บ้านเปรยจัน โดยมีทหาร ตำรวจและส่วนราชการ คอยอำนวยความสะดวกและการจัดระเบียบ สถานการณ์ทั่วไปปกติ การปฏิบัติการที่สำคัญคือหน่วยได้จัดกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน (คฝ.) 1 กองร้อย เข้าควบคุมและรักษาความปลอดภัยพื้นที่ และจัดชุดตรวจค้นวัตถุระเบิด 4 ชุด พร้อมอุปกรณ์ตรวจค้นและรถถากถางหุ้มเกราะ D5 ดำเนินการตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่ปฏิบัติการฝ่ายไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยจะสามารถได้พื้นที่ปลอดภัย จำนวน 38,256 ตารางเมตร

นอกจากนี้ คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) ประจำราชอาณาจักรไทย เดินทางมาสังเกตการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ตามแนวชายแดนของ จังหวัดสระแก้ว รับทราบสถานการณ์ ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยกองทัพภาคที่ 1 ได้ชี้แจงให้คณะ IOT รับทราบ ถึงขั้นตอนดำเนินการจัดการพื้นที่ที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในอธิปไตยของไทย เป็นไปตามมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ภายใต้กรอบกฎหมายไทยและหลักสากล ส่วนกรณีฝ่ายกัมพูชาแจ้งให้ฝ่ายไทยระงับการเก็บกู้ระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ้างละเมิดข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชานั้น กองทัพภาคที่ 1 ขอยืนยันว่าฝ่ายไทยดำเนินการดังกล่าว ในพื้นที่อธิปไตยของไทยไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์

กองบัญชาการกองทัพไทย รายงานว่า คณะ IOT ยังได้เข้าสังเกตการณ์พื้นที่บ้านวังมน ตำบลคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการลักลอบข้ามแดนจากกัมพูชาเข้าประเทศไทย ต่อจากนั้นคณะฯ ได้เดินทางต่อไปยังบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เพื่อสังเกตการณ์การสร้างถนนและติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างในพื้นที่ และบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เพื่อสังเกตการณ์การปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่ปฏิบัติการฝ่ายไทย โดยหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิด ด้านมนุษยธรรมที่ 1 (นปท.1) รวมทั้งสังเกตการณ์พื้นที่บริเวณหลักเขตแดนที่ 36 บ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เพื่อรับทราบถึงการละเมิด MOU 2543 ของกัมพูชา กรณีที่ชาวกัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยของไทยเข้ามาสร้างที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต และชี้แจงความร่วมมือระหว่างไทย–กัมพูชา ในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และขบวนการสแกมเมอร์ฝั่งกรุงปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของภูมิภาคอาเซียน

ผลการสังเกตการณ์ คณะ IOT ชื่นชมความโปร่งใสและความร่วมมือของฝ่ายไทย พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสันติภาพ ความไว้วางใจ และการรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับกัมพูชาให้กลับมาเป็น เพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนต่อไป

ทางด้านกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่ามีการตรวจพบการละเมิดแนวรั้วลวดหนามชายแดนในพื้นที่บริเวณทิศตะวันออกของปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ มีการลักลอบตัดลวดหนามบางจุด เป็นบริเวณที่ไม่มีเหตุขัดยังฝ่ายไทยจึงได้วางเครื่องมือเฝ้าระวังไว้และเมื่อเกิดเหตุจึงมีการแจ้งเตือน ซึ่งเป็นการกระทำละเมิดข้อตกลงหยุดยิง กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานไปยังกองทัพบกเพื่อดำเนินการแล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้มีการลักลอบตัดรั้วลวดหนามบริเวณดังกล่าวยาวถึง 3 กิโลเมตร ตามที่มีกระแสข่าวแต่เป็นความเสียหายบางจุดและขณะนี้ซ่อมแซมแล้ว อย่างไรก็ตามฝ่ายไทยจะประท้วงไปยังคณะ IOT และเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และเฝ้าตรวจพื้นที่เสี่ยงทุกจุด

นอกจากนี้กองทัพภาคที่ 2 ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกองเลขานุการฯ ตามคำเชิญของฝ่ายกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางการเตรียมความพร้อมในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) ไทย- กัมพูชา สมัยวิสามัญ โดยครั้งนี้ประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ

การประชุมมี พลตรี กัมปนาท วาพันสุ เสนาธิการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ทำหน้าที่ประธานฝ่ายไทย และ พลจัตวา นิต ณารงค์ รองเสนาธิการภูมิภาคทหารที่ 4 ทำหน้าที่ประธานฝ่ายกัมพูชา โดยได้หารือและพิจารณาประเด็นสำคัญร่วมกัน ดังนี้

1) ยืนยันให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค RBC

2) การกำหนดวันและเวลาการประชุมใน ห้วงวันที่ 15 -17ตุลาคม 2568

3) การจัดสถานที่ประชุม ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดย กัมพูชาเป็นเจ้าภาพหลัก

4) การพิจารณาระเบียบวาระ และสาระสำคัญของการประชุม ประกอบด้วย แผนการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักกลับสู่ที่ตั้งปกติ ที่มีรายละเอียดสามารถปฏิบัติได้จริง ภายใต้การสังเกตการณ์และการตรวจสอบของกลุ่มประสานงาน (CG) รวมทั้ง ยืนยัน ความร่วมมือในการกำจัดทุ่นระเบิดตามหลักมนุษยธรรม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง