นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 โดยเฉพาะนโยบายสำคัญเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจและด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สร้างโอกาส สร้างรายได้ แก้ไขปัญหาหนี้สิน วางรากฐานการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ยุคใหม่ จากเดิมที่เน้น “ปริมาณ” ไปสู่การสร้าง “มูลค่า” โดยยกระดับภาคเกษตรกรรมของไทยไปสู่เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) การบริหารจัดการที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทำกินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ
จากนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายทั้งด้านเศรษฐกิจ และด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภาคการเกษตรได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากปริมาณไปสู่การสร้างมูลค่า เช่น การบริหารจัดการและรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การยกระดับสู่เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) และส่งเสริมผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เช่น Food for the Future และ Bio-industry การจัดการทรัพยากรน้ำและรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (PM2.5) การขยายโอกาสทางการตลาดด้วยการจัดตั้งทีมไทยแลนด์และยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก (Agricultural and Food Hub) ซึ่งต้องยกระดับการขับเคลื่อนใน 2 มิติสำคัญ คือ ด้านการผลิต และด้านการตลาด ในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ การขับเคลื่อนด้านการผลิต (Supply-side) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ (Engine) และเป็นหัวใจของภาคการผลิต แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรเพื่อการเพิ่มรายได้ โดยกำหนดกลุ่มสินค้าเป้าหมายหลักออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่ผลิตได้เกินกว่าความต้องการของตลาด (ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โคเนื้อ ไก่เนื้อ และกุ้ง) และกลุ่มสินค้าที่ยังผลิตได้น้อยกว่าความต้องการ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง กาแฟ ทุเรียน และถั่วเหลือง) โดยตั้งเป้าราคาข้าวนาปีอยู่ที่ราคา 8,000-10,000 บาทต่อตันและยกระดับราคาโคเนื้อให้ไม่ต่ำกว่า 80 บาทต่อกิโลกรัม ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 3 เดือน และแก้ปัญหาการชะลอการนำเข้าโค กระบือ แพะ และแกะ จากเมียนมา
2. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรและบุคลากรภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็น เช่น พันธุ์ ดิน ปุ๋ย การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและสร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรรม โดยให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ให้คำแนะนำเกษตรกรเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และชีวภัณฑ์อย่างเหมาะสมและสั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยให้แก่สมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศกว่า 170 แห่งในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด
โดยมุ่งมั่นที่จะดูแลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้อยู่ดีมีสุข มีรายได้ที่มั่นคง เพื่อเสริมสร้างให้ภาคเกษตรไทยแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการแข่งขันทัดเทียมหรือเหนือกว่าประเทศอื่นๆ จึงได้สานต่อนโยบายเดิม รวม 6 ด้านสำคัญ ดังนี้
1. เร่งรัดการจัดที่ดินทำกินและสร้างความมั่นคงด้านกรรมสิทธิ์ มุ่งเน้นการจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เร่งรัดการยกระดับเอกสารสิทธิ์ให้เป็น โฉนดเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก. 4-01)เพื่อสร้างความมั่นคงด้านกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เกษตรกร ตั้งเป้าให้ครบ 22 ล้านไร่ทั่วประเทศ ภายในปี 2569 ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน เช่น ระบบชลประทาน ถนน และไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนการใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการลงทุนและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
2. บริหารจัดการน้ำทั้งระบบเชิงรุก เน้นการบริหารจัดการน้ำอย่างมีระบบและต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกันจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเน้นการดำเนินงานเชิงรุก ทั้งการป้องกันน้ำท่วม การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการเติมน้ำในเขื่อน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูการผลิต โดยเน้นย้ำให้รายงานอุปสรรคด้านกฎหมายหรือข้อจำกัดในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและผลักดันให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม
3. ยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ส่งเสริมการสร้าง ตราสินค้า (Brand) และ เรื่องราว (Story) ในระดับจังหวัดและอำเภอเพื่อสร้างเอกลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม สนับสนุนกิจกรรมเสริม เช่น การแปรรูปสินค้าเกษตร การท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่หลากหลาย และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้ทางเดียว ซึ่งเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ยางพาราในภาครัฐ ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และการยางแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศ
4. เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง สนับสนุนการเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจรของเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกร จัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อการจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรและอุปกรณ์ที่จำเป็น และมอบหมายให้เกษตรจังหวัดทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์และขึ้นทะเบียนเครื่องจักรกลเพื่อให้บริการในพื้นที่อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสหกรณ์การเกษตร โดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนและต่อยอดธุรกิจรวมถึงกำหนดระบบการประเมินผลและตรวจสอบการดำเนินงานของสหกรณ์ เพื่อสร้างความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นต่อสมาชิกและสังคม
อีกทั้ง ยังเร่งแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 ในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง ซึ่งสิ้นสุดโครงการฯ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 หลังขยายเวลาโครงการฯ 150 วัน (ตามมติ ครม. 8 เม.ย. 68) ปัจจุบันเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายคงเหลือประมาณ 18,000 รายที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับธนาคารของรัฐ มีกรอบวงเงินชดเชยคงเหลืออยู่ประมาณ 1,800 ล้านบาท จึงมีมติเห็นชอบให้ขยายกรอบระยะเวลาเพิ่มเติม 90 วัน มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนและวางแผนแนวทางการดำเนินโครงการฯ ก่อนนำเสนอ ครม. พิจารณา
5. จัดการทรัพยากรทางการเกษตรเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Go Green) ส่งเสริมการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Go Green) ตามแนวทาง BCG / Carbon Credit เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดการเผาซังข้าว/ตอซัง และลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเกินความจำเป็น พร้อมผลักดันการใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อผลิต พลังงานทดแทน ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมตาม Agri-Map และฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมถึงการจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและรับมือภัยแล้ง น้ำท่วม และภัยพิบัติอื่น ๆ ให้สามารถดำเนินการได้ทันท่วงที และเร่งสร้าง อาชีพทดแทน ให้แก่เกษตรกรในช่วงเกิดภัยพิบัติ
6. ปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมาย ได้แก่ การขนส่งยางพาราผ่านแดนไทย ให้มีการตรวจสอบคุณภาพยางอย่างเข้มงวด จะนำร่องในพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ ระนอง และตาก กำหนดเขตควบคุมการขนย้ายยางพารา 5 จังหวัดตามแนวชายแดนที่มีการลักลอบนำเข้า แก้ปัญหายางเถื่อนและรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยได้มีการจับกุมยางเถื่อนที่ จ.ระนอง น้ำหนักกว่า 2,610 กิโลกรัม มูลค่า 160,000 บาท ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อระบบการผลิตและเสถียรภาพราคาสินค้าในประเทศ พร้อมตรวจสอบและติดตาม สต็อกสินค้าเกษตร ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรในช่วงก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรไทย
นอกจากนี้ยังกำหนดนโยบายเร่งด่วน “3 สร้าง” เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในระยะแรก ได้แก่
1. สร้างรายได้ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์/พืชตระกูลถั่ว และสร้างรายได้จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
2. สร้างตลาด ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันในรูปแบบสหกรณ์ เพื่อบริหารจัดการผลผลิตและหาตลาดจำหน่าย โดยเชื่อมโยงกับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและขยายตลาดผลไม้ไทยในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์กับการท่องเที่ยว
3. สร้างโอกาส ยกระดับทักษะ (Reskill และ Upskill) ของเกษตรกรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมองค์ความรู้ให้เกษตรกร พัฒนาคุณภาพการผลิต และพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับผลไม้ไทยสู่มาตรฐานสากล สร้างความเชื่อมั่นแก่ประเทศคู่ค้า