นายกฯ สั่งเร่งแก้ปัญหาชายแดนใต้ ยกระดับการข่าวเชิงรุก บังคับใช้กฎหมายเท่าเทียม ทุกภาคส่วนทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ และแผนปฏิบัติการปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พร้อมด้วย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเองและคณะ มาตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความห่วงใยต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะสถานการณ์ยังมีความอ่อนไหวและมีความท้าทาย จึงขอให้พลโท นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 นำความผาสุกมาสู่สังคมและประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะที่ผ่านมา ต้องขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง การลงพื้นที่ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการติดตามการทำงานเชิงลึก และยืนยันความมุ่งมั่นที่จะร่วมกับประชาชนและหน่วยงานทุกฝ่ายในการเดินหน้าสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2569 

รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับอธิปไตยของชาติ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกคน ซึ่งได้มอบนโยบายให้กองอาสารักษาดินแดน (อส.) เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนบทบาทของทหารหาญในการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ดูแลชีวิตประชาชน เพื่อไม่ให้ทหารต้องกังวลและห่วงในความปลอดภัยญาติพี่น้องและประชาชน และสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมาย และรักษาอธิปไตยของชาติไว้เหนือสิ่งอื่นใด โดยจะแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้และพื้นที่อื่นๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นเอกภาพและประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ

จากนั้น นายอนุทิน และคณะ ได้รับฟังรายงานสรุปแผนขับเคลื่อนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยน้อมนำหลักการตามพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นยุทธศาสตร์หลักในการแก้ไขปัญหา ครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคงและสังคม รวมทั้งการเสริมกำลังทหารด้วยกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ด้วยกองร้อย อส. และกองอาสารักษาดินแดน ชุดคุ้มครองตำบล (อส.ชคต.) ที่เน้นปฏิบัติการเชิงรุก เสริมสร้างความเข้าใจ การพบปะประชาสัมพันธ์  สร้างสันติสุข การคุ้มครองดูแลครู และนักเรียน พร้อมกำหนดตัวชี้วัดนายอำเภอในพื้นที่ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ รวมถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมทั้งรับฟังรายงานสถานการณ์จากนางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งจังหวัดปัตตานี ดำเนินมาตรการความปลอดภัยด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชน สร้างเครือข่ายประชาชนเฝ้าระวัง โดยใช้เครือข่ายคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือจากกลุ่มผู้นำ 4 เสาหลัก ได้แก่ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และผู้นำทางธรรมชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดความหวาดระแวงระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ โดยใช้สื่อท้องถิ่น มัสยิด และโรงเรียน เป็นช่องทางในการสร้างการรับรู้และการสื่อสารทำความเข้าใจ

โดยในปี 2569 ได้กำหนดแผน 3 ด้านคือ 1. เสริมความเข้มแข็งสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชนเพื่อพัฒนา และยกระดับการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมที่จะรองรับการถ่ายโอนภารกิจจากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ 2. บูรณาการความร่วมมือในการปฏิบัติงานของหน่วยกำลังในพื้นที่ให้มีความเป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน โดยการจัดให้มีการประชุมวางแผนร่วมกัน และกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน และ 3. สร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างยั่งยืน

ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รายงานเหตุการณ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 168 เหตุการณ์ โดยสถิติการเกิดเหตุมากที่สุดที่จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา ตามลำดับ และในส่วนของกองกำลังตำรวจ จชต. มีเหตุ 249 เหตุ ในส่วนของ ศอ.บต. ขับเคลื่อนภารกิจทั้งเหตุที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเหตุอาชญากรรมอื่น ๆ งานยุทธศาสตร์ งานประสานเร่งรัดพัฒนา งานบูรณาการงานบริหารและความมั่นคง และงานอำนวยการ โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ได้ปฏิบัติภารกิจด้านกิจการพลเรือน การช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนสังคมพหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่น พิทักษ์กำลังพล บุคลากรภาครัฐ และประชาชน

นายอนุทิน ได้มีข้อสั่งการเพื่อให้การปฏิบัติงานแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ 3 มาตรการ ได้แก่

1. “ยกระดับงานด้านการข่าวเชิงรุก” ด้วยการทำงานให้เร็วกว่าผู้ก่อเหตุหนึ่งก้าวเสมอเป็นอย่างน้อย
มีการบูรณาการงานข่าวของทุกหน่วยงานอย่างไร้รอยต่อ เพื่อคาดการณ์ ป้องกัน และหยุดยั้งแผนการต่างๆ ให้ได้ก่อนที่เหตุจะเกิด

2. “บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม” กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับการคุ้มครอง ขณะเดียวกัน ผู้ที่กระทำผิดและใช้ความรุนแรงจะต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาดและเข้มงวด ซึ่งภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะกับประชาชน

3. “ผนึกกำลังทุกภาคส่วนอย่างเป็นเอกภาพ” ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ต้องทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งการตั้งจุดตรวจ การลาดตระเวน และการดูแลชุมชน ต้องประสานสอดคล้องกัน เพื่อปิดช่องว่างการทำผิดกฎหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อธิปไตยของชาติ เพราะฉะนั้น จึงให้ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า และตำรวจ ให้ความสำคัญกับภารกิจการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ โดยเฉพาะการควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นลำดับต้นๆ เพราะที่ผ่านมามีความถี่ของเหตุการณ์และการเกิดเหตุขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ จังหวัดนราธิวาส และจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ช่องทางข้ามแดนต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเอื้อในการที่ผู้ก่อเหตุ ใช้หลบหนี ซึ่งความมั่นคงที่แท้จริง คือ การที่ประชาชน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องหวาดระแวง และรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ คือ ที่พึ่งได้อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เห็นชอบกรอบนโยบายการบริหารและการพัฒนาเป็นกรอบหลักในการปฏิบัติงานซึ่งเป็นกรอบที่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองตามกฎหมาย จึงขอให้หน่วยงานความมั่นคงและ  ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการแผนงานด้านการพัฒนาให้สอดคล้องกับแผนงานด้านความมั่นคงเพื่อเกิดผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ รวมถึงกระบวนการพูดคุยสันติสุขจะเป็นส่วนสำคัญช่วยลดเหตุความรุนแรงและช่วยทำให้เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ในอนาคตอันใกล้ จึงขอให้ทุกหน่วยงานได้สนับสนุนภารกิจของ พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ โดยเฉพาะการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพูดคุยเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ความไว้วางใจ ความสมานฉันท์ ความสามัคคีจะทำให้เกิดเกราะป้องกันไม่ให้ผู้คิดร้ายต่อราชอาณาจักรไทยกล้ากระทำการใดต่อประเทศของเรา พร้อมทั้งสั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยใช้ระบบ Cell Broadcast ในการแจ้งเตือนภัยความมั่นคงในพื้นที่ไปยังประชาชน

จากนั้นนายอนุทิน พร้อมคณะ เดินทางไปที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่หอผู้ป่วยเฉลิมพระบารมี 8 เพื่อเข้าเยี่ยมอาการป่วยของ อาสาสมัครทหารพราน พันธกานต์ อินทะเขื่อน เจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดปฏิบัติการลาดตระเวนเส้นทางกองร้อยทหารพรานนาวิกโยธิน 2 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดขณะทำการลาดตระเวนเส้นทางด้วยการเดินเท้าในพื้นที่รับผิดชอบ บริเวณทางเข้าหมู่บ้านยามูแรแน หมู่ที่ 4 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 และเข้าเยี่ยมอาการของ สิบเอก บุริศวร์ ระดาชัย นายสิบอาวุธเบา สังกัดชุดปฏิบัติการกรมรบพิเศษที่ 408 (ชป.รพศ.408) ซึ่งได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลจากกระสุนปืนหลายแห่งจากการพยายามเข้าระงับเหตุปล้นร้านทอง ภายในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568

จากนั้นเดินทางไปยังหอผู้ป่วยกระดูกและข้อชาย เพื่อเข้าเยี่ยม ร้อยตำรวจตรี สมชาย ปานเจี้ยง รองสารวัตร (อำนวยการ) กองกำกับการเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณมือทั้ง 2 ข้าง และคางมีบาดแผลฉกรรจ์จากเหตุระเบิดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบวัตถุระเบิด ที่บริเวณชั้น 2 ของ อาคารกองกำกับการเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดยะลา และเข้าเยี่ยม อาสาสมัครทหารพราน สุริยาวุธ ช่างเกวียนดี สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4811 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 ได้รับบาดเจ็บจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเส้นทาง บริเวณบ้านบือราแง หมู่ที่ 3 ตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568

ทั้งนี้หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนายอนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว โดยแสดงความมั่นใจในความสามารถและศักยภาพทุกหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งกองทัพ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ศอ.บต. ซึ่งได้มีการบูรณาการการทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมสั่งการเพิ่มการลาดตระเวน มีการปิดพื้นที่ (seal) ที่อาจเป็นช่องทางธรรมชาติที่เอื้อให้ผู้ก่อเหตุใช้หลบหนีไปได้ทันที สำหรับกรณีเหตุการณ์ปล้นทองล่าสุดนั้น กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ย้ำว่าทุกตำแหน่ง ทั้งแม่ทัพ ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือแม้แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่มีช่วงทดลองงาน ต้องพร้อมรับทุกเหตุการณ์ ส่วนการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพ ได้แต่งตั้ง พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขา สมช. โดยได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงกลาโหม และ สมช. ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ มั่นใจว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีด้วยประสบการณ์ รวมถึงการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้มีการวางกรอบเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง