“ศุภจี” เร่งผลักดันส่งออก เจาะตลาดใหม่ ธงฟ้าลดค่าครองชีพ 14 ต.ค. 68 เปิดลงทะเบียน “ร้านยา สุขกาย สบายกระเป๋า”

จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการต้องวางรากฐานของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อ “การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย” ให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เพิ่มความร่วมมือการค้า-การลงทุน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนนั้น

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงได้เร่งขับเคลื่อน 7 นโยบายสำคัญ “Quick Big Win” ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ใน 7 เรื่องหลัก ดังนี้

1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า

  • เร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐอเมริกา ภายในเดือนธันวาคม 2568

โดยปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์และเพิ่มความโปร่งใส โดยปัจจุบันได้ผลชัดเจน เช่น จากที่เคยพบเอกสาร C/O ปลอมแปลงหลักร้อยกรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี 2567 และไม่พบในปี 2568 นอกจากนี้ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ที่เคยใช้เวลา 12–18 เดือน ให้เหลือเพียง 9 เดือน ด้วยการนำ AI มาช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็น Quick Win ที่ช่วยผู้ประกอบการไทยโดยตรง

  • ส่งเสริมการส่งออกเฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้างไทย ไปยังประเทศอินเดียเพื่อรับมือมาตรการภาษีทรัมป์

เมื่อวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับภาคเอกชน นำผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ของตกแต่งบ้าน วัสดุก่อสร้าง และสินค้าศักยภาพที่เกี่ยวเนื่องสำหรับกลุ่มโปรเจคต์ รวม 46 บริษัท เข้าเจรจาการค้ากับผู้ซื้อ/ผู้นำเข้า ณ ประเทศอินเดีย โดยได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้ซื้อ/ผู้นำเข้า ประเทศอินเดีย

  • จับมือสภาหอการค้าไทย ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน รับมือมาตรการภาษีสหรัฐฯ ดัน FTA – เปิดตลาด

อินเดีย – ดูแลสินค้าเกษตร และเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการชายแดน โดยกระทรวงพาณิชย์ได้แลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือในการรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา (U.S. Tariff) เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเกษตรของไทย ป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์ควบคุมสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐาน และส่งเสริมการค้ากับตลาดใหม่ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทยต่อกฎระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา

ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบ ทั้งการจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาทต่อชิ้นร่วมกับไปรษณีย์ไทย
เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย การเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และการเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดประสานงานใกล้ชิดกับประชาชน

3. FTA และบุกตลาดใหม่

ไทยมี FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ  ได้แก่ FTA ไทย–เอฟตา ให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีแรก ปี 2569 FTA ไทย–อียู ให้ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาสแรกปี 2569 FTA ไทย–เกาหลีใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2568 จะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลก หาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยเน้นการจับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย และจัดกิจกรรมเจรจาการค้ารูปแบบใหม่

  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เดินหน้าเจรจา FTA ไทย-EU และ ไทย-เกาหลีใต้ พร้อมเร่ง

FTA ไทย-EFTA ให้มีผลใช้บังคับครึ่งปีแรก ปี 2569

  • กรมการค้าต่างประเทศ เร่งส่งเสริมสินค้ามันสำปะหลังไทยไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและมี

มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เน้นเจาะตลาดญี่ปุ่น

กรมการค้าต่างประเทศ ได้เร่งส่งเสริมสินค้ามันสำปะหลังไทยไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยจัดคณะเดินทางไปขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลังและสินค้าแปรรูปจากมันสำปะหลัง ณ เมืองฟูกูโอกะ และเมืองคุมาโมโตะ ภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 28 กันยายน – 2 ตุลาคม 2568 ผลตอบรับดีเกินคาด ผู้นำเข้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทั้งอาหารสัตว์ อาหารสุขภาพ ให้ความสนใจ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างความต้องการมันสำปะหลังล่วงหน้าได้ก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูผลผลิตออกสู่ตลาดในปีการผลิต 2568/69 นี้

  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) นำทัพผู้ประกอบการไทย 114 บริษัท เปิดตัวอาหาร

และเครื่องดื่มไทยสู่เวทีโลก ในงาน ANUGA 2025 ที่เมืองโคโลญ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยนางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ได้หารือกับ Mrs. Paula Goncalves, CEO บริษัท Stutzer & Co.AG ผู้นำเข้าสินค้าอาหารรายใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์ และได้ใช้โอกาสนี้ผลักดันให้บริษัทเพิ่มการนำเข้าสินค้าอาหารจากไทยเพิ่มมากขึ้น และร่วมมือในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย
เพื่อกระตุ้นการบริโภคและทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น

  • เดินหน้ากระชับความร่วมมือการค้า-การลงทุนไทย-ออสเตรเลีย

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับนายแอนดรูว์ บาร์ ผู้ว่าการรัฐออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทย–ออสเตรเลีย โดยเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการลงทุนในสาขาที่มีศักยภาพ เช่น การศึกษา สุขภาพ การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และเทคโนโลยีสีเขียว นอกจากนี้ยังหารือการขยายโครงการ Thai SELECT ในออสเตรเลียเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อาหารไทย และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนด้านธุรกิจและบริการระหว่างกันต่อเนื่อง

4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน

  • เดินหน้าจัด “มหกรรมธงฟ้าทั่วประเทศ 1,300 ครั้งต่อปี” ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี

กรมการค้าภายใน (DIT) เดินหน้าโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการชายแดน 7 จังหวัดไทย–กัมพูชา เพื่อขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าออกนอกพื้นที่ ที่มุ่งเน้นการลดค่าครองชีพและสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น พื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี ตราด บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแนวชายแดนสำคัญทางการค้าของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการค้าชายแดน กรมการค้าภายในจึงเร่งดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเชื่อมโยงตลาดภายในประเทศและตลาดออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง และเข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้างมากขึ้น โดยได้ร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สนับสนุนระบบขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ เพื่อให้ผู้ประกอบการชายแดนสามารถขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนต่ำ พร้อมทั้งจัดทำระบบเชื่อมโยง “สินค้าชายแดนไทยส่งทั่วไทย” ภายใต้แนวคิด ของดีชายแดน…ถึงมือคนไทยทุกจังหวัด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูปในพื้นที่ โดย “มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ” ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน จะจัดที่จังหวัดศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 17–19 ตุลาคมนี้ โดยมี นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ในวันที่ 18 ตุลาคม เพื่อติดตามกิจกรรมและตรวจเยี่ยมสถานการณ์การค้าในพื้นที่ด้วย ในระยะต่อไป DIT จะนำผู้ประกอบการและสินค้าในจังหวัดชายแดนเข้าร่วมจำหน่ายในงาน “มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพทั่วประเทศ” โดยจะเริ่มนำร่องที่จังหวัดชลบุรี ก่อนขยายต่อไปยังจังหวัดเศรษฐกิจหลักทั่วประเทศ เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้กับสินค้าเกษตร สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร สร้างรายได้หมุนเวียนกลับสู่ชุมชน และลดค่าครองชีพประชาชน

  • โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ประชาชนทราบราคายา ซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ เริ่ม 28 ตุลาคม 2568

กรมการค้าภายใน (DIT) เดินหน้าโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” โดยมีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง เพื่อยกระดับการให้บริการผู้บริโภคในการขอทราบราคายาและเลือกซื้อยาจากภายนอกโรงพยาบาลได้ มุ่งให้โรงพยาบาลเอกชนช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน เปิดให้ร้านยาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และจะ Kick off โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568

  • กรมการค้าภายใน จับมือร่วมสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ ร่วมจำหน่ายเนื้อสุกรคุณภาพ จัดจำหน่ายเนื้อหมูคุณภาพดี 2 กิโลกรัม ราคาเพียง 100 บาท เริ่มจำหน่ายที่งานธงฟ้า และกระจายทั่วประเทศตลอดเดือนตุลาคมนี้

5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร

  • โดยเฉพาะ ข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตกว่า 21.8 ล้านตัน และมีสต๊อกกว่า 3.5 ล้านตัน กระทรวงจะใช้มาตรการชะลอการขายด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การให้สหกรณ์เก็บสต๊อก การช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน และเร่งการส่งออกทั้งแบบ จีทูจีกับจีน เพิ่มจาก 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน และการเจรจา MOU กับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตาข้าวไทย นอกจากนี้ยังเตรียมผลักดันการปรับตัวของเกษตรกรสู่การปลูกพืชคุณภาพสูง (เช่น GI และพืชที่ตลาดต้องการ) เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันโลกและสภาพภูมิอากาศ
  • กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยผลสำเร็จของการส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ในปี 2568

อย่างครบวงจร ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนไทย ด้วยคุณภาพ อัตลักษณ์และเรื่องราว ดึงดูดใจผู้บริโภค โดยสินค้า GI ที่ทำรายได้ติด Top 10 ในปี 2568 ได้แก่ 1) ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด (ตราด) 11,047 ล้านบาท 2) ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา 6,661 ล้านบาท 3) ทุเรียนหมอนทองระยอง 4,886 ล้านบาท 4) ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ 4,812 ล้านบาท 5) มะพร้าวทับสะแก (ประจวบคีรีขันธ์) 3,776 ล้านบาท  6) เหล้าแป้ (แพร่) 3,632 ล้านบาท 7) มะขามหวานเพชรบูรณ์ 3,363 ล้านบาท 8) หอมแดงศรีสะเกษ 2,882 ล้านบาท 9) กุ้งก้ามกรามบางแพ (ราชบุรี) 2,570 ล้านบาท และ 10) ทุเรียนบางนรา (นราธิวาส) 2,544 ล้านบาท

6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย

  • สนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา) พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ การใช้เครื่องหมายรับรองคุณภาพ เช่น Thailand Trust Mark และ Thai SELECT รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์ม “MOC+” เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้ SMEs เข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐได้ง่ายขึ้น
  • กรมการค้าต่างประเทศ จัดสัมมนาเสริมแกร่งผู้ประกอบการไทยภาคใต้ “Unlocking TradeMeasure: The Passport for Global Trade” ถอดรหัสมาตรการทางการค้า สู่ความสำเร็จบนเวทีโลก นำร่องภาคใต้ที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มุ่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เข้าใจกฎระเบียบ มาตรการการค้า
    ลดปัญหาและอุปสรรคในการส่งออก
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ มุ่งเน้นการยกระดับผู้ประกอบการไทย
    ให้สามารถแข่งขันได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล สนับสนุนผู้ประกอบการใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการธุรกิจด้วยบัญชีบริการดิจิทัล

7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมถึงการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์อุปสงค์อุปทานของสินค้า เพื่อให้มาตรการทางการค้าทันต่อสถานการณ์ และขยายช่องทาง e-Commerce สำหรับสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดสากล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง