สระแก้ว ซ้อมแผนอพยพเตรียมพร้อมความปลอดภัยประชาชน ทบ. เผย “เสียงลำโพงชายแดน” สะท้อนคนไทยไม่พอใจถูกบุกรุกพื้นที่

พลตรี เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา พร้อมด้วยนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เดินทางมาตรวจเยี่ยมการซักซ้อมการอพยพ ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์อพยพประชาชน 4 อำเภอ ได้แก่ ตาพระยา โคกสูง วัฒนานคร และคลองหาด ไปยังศูนย์พักพิงจังหวัดสระแก้ว โดยมีหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นร่วมควบคุมการเคลื่อนย้ายและดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด โดยการเดินทางจากอำเภอชายแดนมายังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่อยู่ในพื้นที่ตอนในจังหวัดสระแก้ว มีระยะห่างจากแนวชายแดน 40 กิโลเมตรขึ้นไป การซักซ้อมอพยพประชาชนในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการ ตั้งแต่พื้นที่ตำบลต้นทาง ไปจนถึงศูนย์พักพิงชั่วคราว ที่ทางจังหวัดสระแก้วได้กำหนด โดยมีตัวแทนจากชาวบ้านในพื้นที่ตำบลชายแดน ทั้ง 4 อำเภอ เข้าร่วมการซักซ้อม เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ด้านนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ตั้งใจมาทำความเข้าใจกับผู้นำชุมชนในพื้นที่ต่างๆ โดยสิ่งที่เป็นห่วงมาก คือ กลุ่มเปราะบางทั้งผู้ป่วยติดเตียง เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มนี้เมื่อเกิดเหตุต้องอพยพเป็นกลุ่มแรก และต้องสำรวจข้อมูลบุคคลเหล่านี้ไว้ก่อนว่าอยู่บ้านหลังไหนบ้าง โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทราบข้อมูลนี้ ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังรถของทางองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อช่วยอพยพกระจายไปยังพื้นที่ของแต่ละหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับแยกผู้ป่วยติดเตียงไปพักฟื้น โดยมีแพทย์และพยาบาลดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะต้องแยกออกจากศูนย์อพยพ เพื่อไม่ให้การดูแลยากลำบาก ยืนยันว่าจะพยายามจัดการให้ดีที่สุด เพราะเข้าใจว่าคนพื้นที่ชายแดนอยู่ใกล้และไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งที่ดีที่สุดคือการเตรียมความพร้อม จึงต้องมีการพูดคุยและวางแผนไว้ทั้งหมด ว่าในแต่ละพื้นที่จะต้องไปในเส้นทางไหน เพื่อไม่ให้เกิดเหตวุ่นวายและเกิดความปลอดภัยมากที่สุด

ขณะที่ พลตำรวจเอก สำราญ นวลมา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจโท สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว เพื่อให้ขวัญกำลังใจและควบคุมการปฏิบัติงาน และรับฟังการบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญของหน่วยตำรวจในพื้นที่ พร้อมทั้งหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดกำลังพลสนับสนุนการปฏิบัติงาน พร้อมปฏิบัติหน้าที่ดูแลและควบคุมสถานการณ์ และย้ำกับกำลังพลทุกนายให้ปฏิบัติหน้าที่การทางยุทธวิธีตามหลักสากล ด้วยความทุ่มเท เสียสละ กล้าหาญ อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ และบังคับใช้กฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและรักษาอธิปไตยของชาติ

จากกรณีที่ พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงถึงการนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) เข้าตรวจสอบพื้นที่หมู่บ้านซุกค์ และหมู่บ้านเปรยจัน ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ราชอาณาจักรกัมพูชา (ด้านตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว) ภายหลังได้รับรายงานว่ามีการออกอากาศเสียงจากลำโพงในฝั่งไทย ซึ่งมีลักษณะเป็นเสียงที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและรบกวนการพักผ่อนของพลเมืองกัมพูชา โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อันเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมและบรรทัดฐานสากล

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจบริบทของพื้นที่ดังกล่าวก่อนว่า เป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาบุกรุกเข้ามาในเขตไทย มีความขัดแย้งมาอย่างต่อเนื่องและอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ โดยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็ยังพบว่าฝ่ายกัมพูชามีการจัดตั้งมวลชนร่วมกับเจ้าหน้าที่ทางการ เข้าขัดขวางและยั่วยุต่อฝ่ายไทย ทำให้ประชาชนไทยได้รับผลกระทบและเกิดความไม่พอใจจำนวนมาก จนหลายกลุ่มได้ออกมาแสดงออกด้วยวิธีต่างๆ เพื่อกดดันชาวกัมพูชาและเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐเร่งจัดการกับปัญหาดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือการใช้เครื่องเสียงเปิดเสียงในลักษณะที่อาจทำให้ประชาชนกัมพูชาเกิดความไม่สบายใจ

การแสดงออกของชาวไทยในการเปิดเครื่องเสียงดังกล่าวนั้น เป็นการแสดงออกด้วยวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ฝ่ายกัมพูชาบุกรุกแผ่นดินไทย และบิดเบือนสร้างเรื่องราวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโดยไม่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในทางกลับกันหากมองย้อนไปที่ฝ่ายกัมพูชา จะพบว่าเมื่อมีการชุมนุมมักใช้วิธีก้าวร้าวและมใช้สิ่งเทียมอาวุธเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทยจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชาควรหาทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน แทนที่จะออกมาเรียกร้องต่อการกระทำของฝ่ายไทยในกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ที่ผ่านมามาตรการต่างๆ ที่ฝ่ายไทยจะต้องนำไปใช้ในการแก้ปัญหา จึงต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เข้าทางของกัมพูชา และทุกวิธีการที่อาจนำมาใช้เป็นองค์ประกอบสนับสนุนในการแก้ปัญหาในพื้นที่ของจังหวัดสระแก้วนั้น เจ้าหน้าที่ได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมาย ยังคงเลือกวิธีที่จะก่อให้เกิดอันตรายน้อยที่สุดก่อน

ส่วนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จังหวัดสระแก้ว ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2568  โดยพื้นที่บ้านหนองจาน ฝ่ายไทย มีมวลชนเข้าพื้นที่ พ่อค้าแม่ค้ารวมทั้งสื่อมวลชน ประมาณ 150 คน และมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ นำตู้คอนเทนเนอร์ 20 ตู้ มาวางบริเวณจุดตรวจบ้านหนองจาน (จต.ส.40) ถนนศรีเพ็ญ ขณะที่ฝั่งกัมพูชา พบความเคลื่อนไหวของประชาชน สื่อมวลชน ทหาร และตำรวจ คอยติดตามความเคลื่อนไหวและการปฏิบัติการของฝ่ายไทย ประมาณ 30-40 คน สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติ การปฏิบัติการที่สำคัญกองกำลังบรูพา โดยหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ หน่วยเฉพาะกิจตาพระยา ตำรวจตระเวนชายแดน ทหารพราน และชุดควบคุมฝูงชน ยังคงตรึงกำลังเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก

พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝ่ายไทย มีมวลชนจำนวนหนึ่งในพื้นที่ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่สำคัญ พื้นที่ฝั่งกัมพูชา พบความเคลื่อนไหวของประชาชน มวลชนและสื่อมวลชน ประมาณ 30-40 คน ในวัดเปรยจัน ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางในการแสดงจุดยืน การประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสาร เป็นพื้นที่รับ-ส่ง เสบียง สิ่งของสัมภาระ และสิ่งของอุปโภค-บริโภค สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติ ปฏิบัติการที่สำคัญกองกำลังบูรพา โดยหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ หน่วยเฉพาะกิจตาพระยา ตำรวจตระเวนชายแดน ทหารพราน และชุดควบคุมฝูงชน ยังคงตรึงกำลังเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก

กรณีฝ่ายกัมพูชา ได้พาคณะ IOT ลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านโจกเจยและหมู่บ้านเปรยจัน เพื่อสังเกตการณ์ ตรวจสอบ การเปิดเครื่องเสียงผ่านลำโพงของฝ่ายไทย อ้างเป็นการข่มขู่และคุกคามทางจิตใจและสร้างความรำคาญแก่ชาวกัมพูชาในพื้นที่ ทั้งนี้ทีมงานของฝ่ายไทย ได้กระจายเสียงเกี่ยวกับสารคดีประวัติศาสตร์ในค่ายอพยพ เมื่อประชาชนกัมพูชาหนีภัยสงครามกลางเมืองมาพึ่งพาอาศัยในพื้นที่ประเทศไทย และเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ผู้บุกรุกชาวกัมพูชาในพื้นที่อธิปไตยไทย ทราบถึงข้อหาบุกรุกและครอบครองพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการทางจิตวิทยา ตามแผนจากเบาไปหาหนักของฝ่ายพลเรือน

สำหรับภารกิจการเก็บกู้ระเบิด กองกำลังบูรพา ยังคงเดินหน้าตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยหน่วยได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์พร้อมอุปกรณ์ตรวจค้น รถถากถางหุ้มเกราะ D5 เครื่องจักร GCS-200  เจ้าหน้าที่หน่วยทหารช่างสนาม 7 ชุด และได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) ร่วมปฏิบัติการเพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยครอบคลุมอธิปไตยของไทยทั้งหมด ทั้งนี้จากการปฏิบัติการวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการปฏิบัติการเก็บกู้ระเบิด ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพิ่มเติม เป็นชนิดระเบิดอยู่กับที่ PMN จำนวน 2 ทุ่น สภาพพร้อมใช้งาน พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นวัตถุระเบิด ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท คาดว่าจะยังมีทุ่นระเบิดตกค้างอีก กำชับให้กองทัพภาคที่ 1 ขอความร่วมมือส่วนราชการสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนมวลชนและสื่อมวลชนงดเข้าพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อไป

นอกจากนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2568 สถานการณ์โดยรวม มีการตรวจพบการบินโดรนบริเวณ ช่องกร่าง 1 ลำ ปราสาทตาควาย 7 ลำ ช่องโอบก 3 ลำ และตรวจพบทหารกัมพูชากำลังปรับปรุงฐานที่มั่นและบังเกอร์ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุด เฝ้าตรวจตราเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อมตอบโต้ตามสถานการณ์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง