สธ. เดินหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ฟอกไตฟรีทุกแห่ง Kick off นัดหมายออนไลน์ 17 ต.ค. นี้

นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 มุ่งเน้นขับเคลื่อน “การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย” ให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน ให้คนไทยทุกช่วงวัย ทุกกลุ่ม เข้าถึงสิทธิระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึงเท่าเทียม การพัฒนาบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพทางกายและจิตใจที่ดี

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ได้แก่

1. 30 บาทรักษาทุกที่ และฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 มีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2568 โดยเฉพาะนโยบายรัฐบาล“30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” และขยายบริการปลูกถ่ายไต โดยจะมีการปรับระบบให้ผู้ป่วยตัดสินใจเลือกวิธีการฟอกไตที่เหมาะสมได้ตามคำแนะนำของแพทย์ และมีการตรวจสอบคุณภาพศูนย์ไตเทียมให้เข้มข้นมากขึ้น ร่วมกับการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งระบบ ตั้งแต่การป้องกันไม่ให้เป็นโรคไต การชะลอภาวะไตเสื่อมไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ต้องฟอกไต ส่วนผู้ที่อยู่ในภาวะไตเสื่อมระยะสุดท้าย จะมีทางเลือกในการรักษาประคับประคอง รวมถึงสนับสนุนการปลูกถ่ายไตที่เป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ไตวายระยะสุดท้าย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะขยายศูนย์ปลูกถ่ายไตและจัดตั้งทีมผ่าตัดนําไตออก (Renal Retrieval Team: RRT) ให้ครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ส่วน สปสช. จะมีการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเพื่อรองรับ ซึ่งล่าสุดเตรียมเปิดศูนย์ปลูกถ่ายไตเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งเป้าปลูกถ่ายไตได้ 3,000 ราย ภายในเดือนมกราคม 2569

  • ขยายระบบ Telemedicine ให้ครอบคลุมทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ตั้งเป้าครบ 100% ภายในเดือนธันวาคม 2568
  • จัดให้มีเครื่องฉายแสงเพื่อการรักษาโรคมะเร็งอย่างครอบคลุม เปิดหน่วยบริการรังสีรักษาเพิ่มอีก 12 แห่ง ภายในปี 2570 ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
  • วันที่ 15 ตุลาคม 2568 สปสช. จะชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง30 บาท) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ได้มีการปรับเกณฑ์บริหารงบประมาณที่สำคัญเพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุม มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ภายใต้งบประมาณกว่า 265,295 ล้านบาท หรือเฉลี่ยงบเหมาจ่ายรายหัว 4,173 บาทต่อคนต่อปี ครอบคลุมบริการทั้งผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน กรณีเฉพาะ โรคเรื้อรัง บริการปฐมภูมิ และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

2. รอบรู้ เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต มุ่งสร้างสังคมที่ประชาชนมีความรอบรู้เรื่องโรค การป้องกัน การดูแลตนเอง สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัยคนไทยแข็งแรง

  • เดือนตุลาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ หรือ Health Literacy Month ในปี 2568 สมาคม HL นานาชาติ หรือ International Health Literacy Association (IHLA) กำหนดแนวคิด “สร้างความเสมอภาคทางสุขภาพด้วยนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม (Building Health Equity Through Innovation and Inclusion)” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแคมเปญ “3 รู้ อยู่รอด” คือ รอบรู้ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง ตระหนักรู้สถานะสุขภาพของตนเอง และรอบรู้วิธีแก้ปัญหาสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
  • การรณรงค์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ในปี 2568 มุ่งเน้น 4 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1) การสร้างความเท่าเทียมด้านสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการและข้อมูลด้านสุขภาพที่เหมาะสม 2) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผยแพร่ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องและเข้าถึงง่าย 3) การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และการเล่าเรื่อง เพื่อลดช่องว่างและเข้าถึงประชาชนที่มีความหลากหลาย  และ 4) การผลักดันสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืน

3. หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี

  • พัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”ให้เป็น “หมอพร้อม+” ซึ่งจะเป็น Super App ด้านสุขภาพหลักที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ตั้งแต่การตรวจสอบสิทธิ นัดหมายแพทย์ ดูประวัติการรักษา รับยา ปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ไปจนถึงข้อมูลส่งเสริมสุขภาพ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยุติความสับสนจากแอปพลิเคชันด้านสุขภาพของภาครัฐที่มีมากกว่า 50 แอปพลิเคชันในปัจจุบัน สู่การเป็น “Super App” เพียงแอปพลิเคชันเดียว เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเป็นระบบเดียวทั้งประเทศภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยประชาชนจะได้ใช้บริการเฟสแรกของ Super App ภายในสิ้นปี 2568 นอกจากนี้ยังเตรียม Kick off นัดหมายออนไลน์ นำร่อง 4 โรงพยาบาล ใน 4 จังหวัด วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี

4. เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ด้วยการแพทย์มูลค่าสูง เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub แห่งภูมิภาค

  • พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงามของไทย การให้บริการศัลยกรรมตกแต่งและแก้ไข สมุนไพรไทย นวดไทย ไปสู่ตลาดระดับโลก
  • ผลักดันการแพทย์แม่นยำที่ใช้ข้อมูลจีโนมและ AI วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
  • ต่อยอดด้วยผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs)เร่งดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม ได้แก่ พื้นที่นำร่องด้าน ATMPs ศูนย์ฝึกอบรมด้านการแพทย์แม่นยำ และ National ATMPs Center แผน Genomic Thailand (โครงการวิจัยด้านสุขภาพ) ระยะที่ 2 รวมทั้งการให้บริการปลูกถ่ายอวัยวะที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการในแต่ละชุดเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน

5. ขวัญกำลังใจบุคลากร เร่งดำเนินการเรื่องค่าตอบแทนตามภาระงาน ให้เป็นธรรมและเหมาะสม จัดสรรอัตรากำลังและทีมสนับสนุนให้เพียงพอตามบริบทของพื้นที่ ดูแลสวัสดิการและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก รวมถึงปรับปรุงโครงสร้าง กฎหมาย และระบบการทำงานให้ทันสมัย ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังมีนโยบายที่สนับสนุนการยกระดับการบริการและหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับให้ก้าวทันด้านสุขภาพ โดยสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพตั้งแต่ฐานราก คือ อสม. และการป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมายด้านสุขภาพ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ได้แก่

บูสต์ อสม. สู่ผู้ช่วยสาธารณสุข ยกระดับเพื่อสวัสดิการที่ยั่งยืน โดยการพัฒนาเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นผู้ช่วยสาธารณสุขหรือผู้เชี่ยวชาญดูแลผู้สูงวัย ผลักดันร่างพระราชบัญญัติ อสม. 7 ฉบับเพื่อให้มีกฎหมายคุ้มครอง และกองทุนสวัสดิการ อสม. สร้างหลักประกันรายได้และสวัสดิการ

สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัย คนไทยแข็งแรง โดยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย วัยเรียน วัยรุ่น มี IQ EQ ดี วัยทำงานพฤติกรรมสุขภาพดี ลดภาวะพึ่งพิงในผู้สูงอายุ มีระบบดูแลสุขภาพระยะยาว และยกระดับการควบคุมป้องกันโรค NCDs เชิงบูรณาการ (Non-Communicable Diseases หรือกลุ่มโรคติดต่อไม่เรื้อรัง) เพิ่มแรงจูงใจด้านสุขภาพ เช่น สิทธิประโยชน์ภาษี สำหรับผู้มีพฤติกรรมสุขภาพดี

เร่งรัดให้แรงงานต่างชาติ/ต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพ ลดภาระประเทศ

นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเร่งรัดให้แรงงานต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพ เพื่อลดภาระค่ารักษาพยาบาลของประเทศ ป้องกันและควบคุมโรคระบาดอย่างเป็นระบบ เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข โดยระยะแรกได้จัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service – OSS) นำร่องใน 4 จังหวัดชายแดนที่มีศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน ทำให้สามารถตรวจสุขภาพและซื้อประกันสุขภาพได้ในจุดเดียวอย่างครบวงจร และพัฒนาระบบ FDH–Migrant Platform เป็นระบบกลางเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิและบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (HINT) สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ออกใบรับรองแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ และซื้อประกันสุขภาพภาครัฐแบบออนไลน์ มีการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างหน่วยบริการต้นทางและปลายทาง สามารถยืนยันตัวตนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใสและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพิ่มความปลอดภัยในการให้การรักษาพยาบาลและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลสุขภาพ

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ได้ Kick off ตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว เฟส 1 ณ โรงพยาบาลแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก นำร่องใน 4 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี และเตรียมขยายเฟส 2 เป็น 10 จังหวัด และขยายทั่วประเทศภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมป้องกันโรคตามแนวชายแดน

ขณะเดียวกัน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังการออกใบรับรองแพทย์เท็จให้แรงงานต่างด้าวโดยสถานพยาบาลเอกชน ป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย หยุดการแพร่ระบาดของโรคต่างแดน หากมีการลักลอบออกใบรับรองแพทย์เท็จ หรือออกใบตรวจสุขภาพให้ทั้งที่ไม่มีการตรวจสุขภาพจริง ถือเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ฐานจัดทำเอกสารแสดงผลการรักษาพยาบาลเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง