นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 มุ่งเน้นขับเคลื่อน “การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย” ให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน ให้คนไทยทุกช่วงวัย ทุกกลุ่ม เข้าถึงสิทธิระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึงเท่าเทียม การพัฒนาบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพทางกายและจิตใจที่ดี
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ได้แก่
1. 30 บาทรักษาทุกที่ และฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 มีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2568 โดยเฉพาะนโยบายรัฐบาล“30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” และขยายบริการปลูกถ่ายไต โดยจะมีการปรับระบบให้ผู้ป่วยตัดสินใจเลือกวิธีการฟอกไตที่เหมาะสมได้ตามคำแนะนำของแพทย์ และมีการตรวจสอบคุณภาพศูนย์ไตเทียมให้เข้มข้นมากขึ้น ร่วมกับการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งระบบ ตั้งแต่การป้องกันไม่ให้เป็นโรคไต การชะลอภาวะไตเสื่อมไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ต้องฟอกไต ส่วนผู้ที่อยู่ในภาวะไตเสื่อมระยะสุดท้าย จะมีทางเลือกในการรักษาประคับประคอง รวมถึงสนับสนุนการปลูกถ่ายไตที่เป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ไตวายระยะสุดท้าย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะขยายศูนย์ปลูกถ่ายไตและจัดตั้งทีมผ่าตัดนําไตออก (Renal Retrieval Team: RRT) ให้ครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ส่วน สปสช. จะมีการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเพื่อรองรับ ซึ่งล่าสุดเตรียมเปิดศูนย์ปลูกถ่ายไตเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งเป้าปลูกถ่ายไตได้ 3,000 ราย ภายในเดือนมกราคม 2569
- ขยายระบบ Telemedicine ให้ครอบคลุมทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ตั้งเป้าครบ 100% ภายในเดือนธันวาคม 2568
- จัดให้มีเครื่องฉายแสงเพื่อการรักษาโรคมะเร็งอย่างครอบคลุม เปิดหน่วยบริการรังสีรักษาเพิ่มอีก 12 แห่ง ภายในปี 2570 ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
- วันที่ 15 ตุลาคม 2568 สปสช. จะชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง30 บาท) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ได้มีการปรับเกณฑ์บริหารงบประมาณที่สำคัญเพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุม มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ภายใต้งบประมาณกว่า 265,295 ล้านบาท หรือเฉลี่ยงบเหมาจ่ายรายหัว 4,173 บาทต่อคนต่อปี ครอบคลุมบริการทั้งผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน กรณีเฉพาะ โรคเรื้อรัง บริการปฐมภูมิ และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
2. รอบรู้ เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต มุ่งสร้างสังคมที่ประชาชนมีความรอบรู้เรื่องโรค การป้องกัน การดูแลตนเอง สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัยคนไทยแข็งแรง
- เดือนตุลาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ หรือ Health Literacy Month ในปี 2568 สมาคม HL นานาชาติ หรือ International Health Literacy Association (IHLA) กำหนดแนวคิด “สร้างความเสมอภาคทางสุขภาพด้วยนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม (Building Health Equity Through Innovation and Inclusion)” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแคมเปญ “3 รู้ อยู่รอด” คือ รอบรู้ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง ตระหนักรู้สถานะสุขภาพของตนเอง และรอบรู้วิธีแก้ปัญหาสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
- การรณรงค์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ในปี 2568 มุ่งเน้น 4 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1) การสร้างความเท่าเทียมด้านสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการและข้อมูลด้านสุขภาพที่เหมาะสม 2) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผยแพร่ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องและเข้าถึงง่าย 3) การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และการเล่าเรื่อง เพื่อลดช่องว่างและเข้าถึงประชาชนที่มีความหลากหลาย และ 4) การผลักดันสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืน
3. หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี
- พัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”ให้เป็น “หมอพร้อม+” ซึ่งจะเป็น Super App ด้านสุขภาพหลักที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ตั้งแต่การตรวจสอบสิทธิ นัดหมายแพทย์ ดูประวัติการรักษา รับยา ปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ไปจนถึงข้อมูลส่งเสริมสุขภาพ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยุติความสับสนจากแอปพลิเคชันด้านสุขภาพของภาครัฐที่มีมากกว่า 50 แอปพลิเคชันในปัจจุบัน สู่การเป็น “Super App” เพียงแอปพลิเคชันเดียว เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเป็นระบบเดียวทั้งประเทศภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยประชาชนจะได้ใช้บริการเฟสแรกของ Super App ภายในสิ้นปี 2568 นอกจากนี้ยังเตรียม Kick off นัดหมายออนไลน์ นำร่อง 4 โรงพยาบาล ใน 4 จังหวัด วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี
4. เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ด้วยการแพทย์มูลค่าสูง เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub แห่งภูมิภาค
- พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงามของไทย การให้บริการศัลยกรรมตกแต่งและแก้ไข สมุนไพรไทย นวดไทย ไปสู่ตลาดระดับโลก
- ผลักดันการแพทย์แม่นยำที่ใช้ข้อมูลจีโนมและ AI วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
- ต่อยอดด้วยผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs)เร่งดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม ได้แก่ พื้นที่นำร่องด้าน ATMPs ศูนย์ฝึกอบรมด้านการแพทย์แม่นยำ และ National ATMPs Center แผน Genomic Thailand (โครงการวิจัยด้านสุขภาพ) ระยะที่ 2 รวมทั้งการให้บริการปลูกถ่ายอวัยวะที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการในแต่ละชุดเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน
5. ขวัญกำลังใจบุคลากร เร่งดำเนินการเรื่องค่าตอบแทนตามภาระงาน ให้เป็นธรรมและเหมาะสม จัดสรรอัตรากำลังและทีมสนับสนุนให้เพียงพอตามบริบทของพื้นที่ ดูแลสวัสดิการและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก รวมถึงปรับปรุงโครงสร้าง กฎหมาย และระบบการทำงานให้ทันสมัย ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังมีนโยบายที่สนับสนุนการยกระดับการบริการและหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับให้ก้าวทันด้านสุขภาพ โดยสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพตั้งแต่ฐานราก คือ อสม. และการป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมายด้านสุขภาพ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ได้แก่
บูสต์ อสม. สู่ผู้ช่วยสาธารณสุข ยกระดับเพื่อสวัสดิการที่ยั่งยืน โดยการพัฒนาเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นผู้ช่วยสาธารณสุขหรือผู้เชี่ยวชาญดูแลผู้สูงวัย ผลักดันร่างพระราชบัญญัติ อสม. 7 ฉบับเพื่อให้มีกฎหมายคุ้มครอง และกองทุนสวัสดิการ อสม. สร้างหลักประกันรายได้และสวัสดิการ
สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัย คนไทยแข็งแรง โดยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย วัยเรียน วัยรุ่น มี IQ EQ ดี วัยทำงานพฤติกรรมสุขภาพดี ลดภาวะพึ่งพิงในผู้สูงอายุ มีระบบดูแลสุขภาพระยะยาว และยกระดับการควบคุมป้องกันโรค NCDs เชิงบูรณาการ (Non-Communicable Diseases หรือกลุ่มโรคติดต่อไม่เรื้อรัง) เพิ่มแรงจูงใจด้านสุขภาพ เช่น สิทธิประโยชน์ภาษี สำหรับผู้มีพฤติกรรมสุขภาพดี
เร่งรัดให้แรงงานต่างชาติ/ต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพ ลดภาระประเทศ
นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเร่งรัดให้แรงงานต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพ เพื่อลดภาระค่ารักษาพยาบาลของประเทศ ป้องกันและควบคุมโรคระบาดอย่างเป็นระบบ เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข โดยระยะแรกได้จัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service – OSS) นำร่องใน 4 จังหวัดชายแดนที่มีศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน ทำให้สามารถตรวจสุขภาพและซื้อประกันสุขภาพได้ในจุดเดียวอย่างครบวงจร และพัฒนาระบบ FDH–Migrant Platform เป็นระบบกลางเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิและบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (HINT) สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ออกใบรับรองแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ และซื้อประกันสุขภาพภาครัฐแบบออนไลน์ มีการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างหน่วยบริการต้นทางและปลายทาง สามารถยืนยันตัวตนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใสและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพิ่มความปลอดภัยในการให้การรักษาพยาบาลและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลสุขภาพ
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ได้ Kick off ตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว เฟส 1 ณ โรงพยาบาลแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก นำร่องใน 4 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี และเตรียมขยายเฟส 2 เป็น 10 จังหวัด และขยายทั่วประเทศภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมป้องกันโรคตามแนวชายแดน
ขณะเดียวกัน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังการออกใบรับรองแพทย์เท็จให้แรงงานต่างด้าวโดยสถานพยาบาลเอกชน ป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย หยุดการแพร่ระบาดของโรคต่างแดน หากมีการลักลอบออกใบรับรองแพทย์เท็จ หรือออกใบตรวจสุขภาพให้ทั้งที่ไม่มีการตรวจสุขภาพจริง ถือเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ฐานจัดทำเอกสารแสดงผลการรักษาพยาบาลเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ