นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2568 ที่ อาคารรัฐสภา โดยมีคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ อาทิ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
โดยนายอนุทิน กล่าวว่า จะจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ทุกสัปดาห์ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี และเพื่อให้การสื่อสารรวดเร็วจึงตั้ง กนศ. ขึ้น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี มีภาคเอกชนมาร่วมด้วย มั่นใจว่าความร่วมมือนี้ จะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต แก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนได้ โดยเน้นการทำนโยบาย Quick Big Win เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จากการพูดคุยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลงานที่กำลังขับเคลื่อน โดยเฉพาะนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน ให้เกิดความสำเร็จ เห็นผลภายในเวลาอีกไม่ถึง 4 เดือน ตามแนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว”
นอกจากนี้ ได้ให้ปลัดกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย เพื่อเป็นสะพานเชื่อม นำสิ่งที่หารือไปช่วยกันดำเนินการต่อได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้เชิญตัวแทนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. (ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) เข้าร่วมประชุม เพื่อให้ข้อมูลและความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการ เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างรวดเร็ว พร้อมเน้นย้ำถึงความคล่องตัว การลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และถ้าอยู่ในอำนาจตามกฎหมายให้ทำทันที หากมีความคืบหน้าหรือติดขัดให้มารายงานในที่ประชุม เพราะจะมีการประชุมนี้ทุกวันจันทร์ช่วงบ่ายและหากต้องใช้อำนาจของ ครม. จะได้นำเรื่องเสนอ ครม. ต่อไป
ทั้งนี้ นโยบาย Quick ต้องดำเนินการได้ทันที Big พอที่จะสามารถดันเศรษฐกิจ และที่สำคัญต้องกระจายตัว Win ประชาชนที่จะได้รับประโยชน์ระยะยาว พร้อมขอให้คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังด้วย ได้เห็นการตอบรับของประชาชนเป็นอย่างดี โดยที่ประชุมได้พิจารณามาตรการ Quick Big Win 5 เสาหลัก “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ได้แก่
1. กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
2. ลดภาระหนี้ประชาชน
3. เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs
4. เพิ่มการออมของประชาชน
5. การลงทุนเพื่ออนาคต
โดยได้มอบหมายให้กระทรวงต่างๆ ที่มีโครงการภายใต้นโยบาย Quick Big Win กำหนด Action Plan ตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจน และสามารถประเมินผลได้จริง สอดคล้องกับแนวทาง “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งจะได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ได้นำเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว คือการลดหย่อนภาษีแก่ประชาชนทั่วไปสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว สามารถลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568 แต่หากเดินทางท่องเที่ยวในเมืองรอง จะสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า เพื่อกระตุ้นให้เม็ดเงินกระจายไปยังเมืองรอง โดยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้รับทราบต่อไป
นอกจากนี้ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากประชาชน ได้มีข้อเสนอจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่เสนอว่านิติบุคคลสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ เนื่องจากบริษัทใหญ่ ที่พาคนไปเที่ยวต่างประเทศ อาจหันกลับมาเที่ยวในประเทศแทน ซึ่งถือเป็นข้อเสนอใหม่จากภาคเอกชน ขณะที่ภาครัฐเองก็มีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน คือ ภาครัฐมีงบประมาณอยู่แล้วไม่ได้ใช้งบประมาณใหม่ โดยในส่วนของหน่วยงานราชการมีอยู่ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท รัฐวิสาหกิจมีประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบที่ตั้งไว้สำหรับอบรมสัมมนา ดังนั้น ภาครัฐ ตามปกติจะจัดอบรมสัมมนาในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ คือ ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน แต่ยอดการท่องเที่ยวกำลังทรุดตัวลง ตัวเลขล่าสุดการท่องเที่ยว 8 เดือนที่ผ่านมา การใช้จ่ายในประเทศติดลบถึงร้อยละ 8 ดังนั้น จะต้องมีการฟื้นเศรษฐกิจไทย ฟื้นการท่องเที่ยวไทย จึงมีนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน ในลักษณะ Front-Loaded หรือการเร่งการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เร็วขึ้น จากปกติจะใช้จ่ายในไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ก็เปลี่ยนมาเป็นการเร่งเบิกจ่ายให้ได้ภายในเดือนมกราคม 2569 ร้อยละ 60 ของงบฝึกอบรมสัมมนา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากแพ็กเกจท่องเที่ยวที่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในการจับจ่ายใช้สอยแล้ว ยังหวังผลในระยะยาวด้วย รัฐบาลจะมีมาตรการให้โรงแรมหรือที่พักในเมืองรองที่ต้องการปรับปรุงโรงแรมให้น่าอยู่และดึงดูดนักท่องเที่ยว ดังนั้น โรงแรมในเมืองรองต่างๆ จะสามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวหักภาษีได้ถึง 2 เท่า เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโรงแรม ขณะเดียวกัน ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมจากกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ว่าไม่ใช่แค่การปรับปรุงโรงแรมอย่างเดียว อยากให้เกิดความยั่งยืนด้วย เช่น การติดโซลาร์เซลล์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายโรงแรม และความยั่งยืนสีเขียวในระยะยาว มีเรื่องบ่อบำบัดน้ำเสีย เพื่อให้แต่ละโรงแรมมีขีดความสามารถในการแข่งขัน และมีโรงแรมที่ใหม่ขึ้น คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว มีพลังงานสะอาดใช้ และมีการบำบัดน้ำเสีย
กรมสรรพสามิต ได้พูดถึงการลดภาษีของสถานบริการต่างๆ ในช่วงนี้ จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 5 โดยจะประสานกับกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากสถานบริการของกระทรวงมหาดไทยและกรมสรรพสามิตยังไม่เชื่อมโยงกัน ดังนั้น จะร่วมมือกันพิจารณาขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ยังไม่ถูกต้อง และไม่ได้สิทธิประโยชน์เหล่านี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เข้าระบบอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องมาแอบเปิด เพื่อจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการค้าต่างๆ ให้เป็นไปอย่างคึกคัก รวมเป็นมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นแพ็กเกจที่จะเกิดขึ้น และใช้ได้จนถึงเดือนมีนาคม 2569
ที่ประชุมยังได้พิจารณาเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งไม่ได้ใช้งบประมาณใหม่ อยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งปีที่ผ่านมา อธิบดีกรมบัญชีกลางได้รายงานว่า ผลการเบิกจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ปรากฏว่ามีงบเบิกจ่ายที่เบิกไม่หมด และขอกันเหลื่อมปีสูงเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า 300,000 ล้านบาท ซึ่งมีการเบิกช้ากว่าปกติ เช่น ปกติงบลงทุนเบิกได้ถึงกว่าร้อยละ 70 แต่ปีที่แล้วเบิกได้เพียงร้อยละ 60 เท่านั้น หมายความว่าประสิทธิภาพการเบิกจ่ายปีที่แล้วไม่ดี แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือมีเหลื่อมมาใช้ในปีนี้ ก็จะทำให้มีเงินเหลือจากปีที่แล้วมาใช้ในปีงบประมาณ 2569 ดังนั้น จะเร่งประสิทธิภาพการเบิกจ่าย โดยกำหนดว่าใครที่ของบประมาณเหลื่อมจ่ายเข้ามา และมี TOR เรียบร้อย ต้องให้เบิกจ่ายให้เสร็จภายในไตรมาส 2 ของปี 2569 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพช่วยนำเงินเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพมาฟื้นเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน งบประมาณปี 2569 ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจมีจำนวนมาก ซึ่งงบประมาณของหน่วยงานที่อนุมัติไปแล้วมีถึง 3.78 ล้านล้านบาท จึงมีการตั้งเป้าและกำหนดการเบิกจ่ายเป็นตัวชี้วัด หรือ KPI ให้หัวหน้าหน่วยราชการ ปีนี้จะต้องเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 93 ของทั้งปีงบประมาณ และงบลงทุนที่เป็นตัวสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจระยะยาว ต้องเบิกจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 นอกจากนี้จะต้องติดตามหน่วยงานราชการเป็นรายเดือน เพื่อจะได้อัปเดตข้อมูลและรายงานให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยที่เบิกจ่ายล่าช้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในเรื่องนี้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พูดคุยถึงแผนงานการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ภายหลังจากนายกรัฐมนตรีให้กรอบการทำงานไปแล้ว โดยทุกคนต้องมี Quick Big Win เนื่องจากมีเวลาจำกัด เพราะจะมีการประกาศยุบสภาในเดือนมกราคม 2569 เมื่อมีเวลาจำกัดก็จะมีแผนออกมาทุกเดือน โดยจะให้กระทรวงเศรษฐกิจที่มีนโยบาย Quick Big Win ต้องทำให้สั้น ได้ผลยาว และกระจายตัวให้ทั่วถึง และจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในทุกสัปดาห์
ขณะที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้กำหนดให้ทุกกระทรวงเศรษฐกิจเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแบบ Quick Big Win และเน้นย้ำว่าทุกโครงการที่จะใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องจัดทำการวิเคราะห์ผลตอบแทน (Cost–Benefit Analysis) ควบคู่กัน เพื่อประเมินประสิทธิภาพของงบประมาณว่ามีผลดี ผลเสีย และผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศอย่างไร สำหรับแผนงานเร่งด่วนระยะแรก กระทรวงการคลังจะเสนอแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมมาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวเมืองหลัก–เมืองรอง รวมถึงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนให้โรงแรมและที่พักรีโนเวท ปรับปรุงมาตรฐาน ด้วยวงเงินราว 100,000 ล้านบาท ผ่านธนาคารออมสิน โดยไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน ส่วนสัปดาห์ถัดไป กระทรวงพลังงาน จะเสนอแผนลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ตามด้วยกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะนำเสนอแนวทางลดค่าครองชีพและกระตุ้นการบริโภคในช่วงปลายปี
มาตรการทั้งหมดนี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ ร้อยละ 0.4 ของ GDP พร้อมแจ้งว่า ในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 จะไม่มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีติดภารกิจการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย