นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนางสาวธนนนท์ นิรามิษ ภริยา นำคณะผู้บริหาร ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พลโทอดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี พร้อมภริยา ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ กรุงเวียงจันทน์ โดยขึ้นแท่นรับความเคารพ ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ร่วมกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และภริยา ก่อนหารือเต็มคณะ
นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลลาวที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังตรงกับวาระครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–ลาว สะท้อนความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืน พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีลาวเยือนไทยเพื่อร่วมการประชุมผู้นำแม่น้ำโขง–ล้านช้าง (MLC Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพปลายปีนี้ และยืนยันไทยพร้อมเข้าร่วมประชุม JC และ JBC ที่ลาวจะเป็นเจ้าภาพในปีนี้ ขณะที่ นายกรัฐมนตรีลาวแสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งของนายอนุทิน เชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถนำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน และยืนยันสานต่อความร่วมมือไทย–ลาวในทุกมิติที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
ส่วนสาระสำคัญในการหารือร่วมกัน มีดังนี้
ด้านความมั่นคง เห็นพ้องร่วมมือแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะยาเสพติด การฉ้อโกงออนไลน์ และการค้ามนุษย์ ไทยจะสนับสนุนงบประมาณ องค์ความรู้ และอุปกรณ์ เพื่อเสริมศักยภาพเจ้าหน้าที่ลาว พร้อมเสนอให้ตั้งหน่วยประสานงานหลัก (Contact Point) เชื่อมต่อกับศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซนเตอร์ฯ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ร่วมกัน
ด้านสิ่งแวดล้อมและน้ำ ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนและการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง ภายใต้ยุทธศาสตร์ “CLEAR Sky” โดยไทยจะสนับสนุนเทคโนโลยีด้านข้อมูลและระบบแจ้งเตือนประชาชน
ด้านเศรษฐกิจและการค้า ไทยพร้อมจัดประชุม COOP ครั้งที่ 8 เพื่อผลักดันการค้าระหว่างกันให้ถึง 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2027 โดยเน้นส่งเสริมการค้าชายแดนและเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs
ด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ เห็นพ้องส่งเสริมโครงการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวระหว่างไทย–ลาว หลายโครงการมีความคืบหน้า ได้แก่
– สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ–บอลิคำไซ) ก่อสร้างแล้วเสร็จ เตรียมเปิดใช้ธันวาคม 2568 ช่วยลดเวลาและลดต้นทุนขนส่ง เชื่อมโยงไทย–ลาว–เวียดนาม ส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวภาคอีสาน
– สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 (หนองคาย–เวียงจันทน์) อยู่ระหว่างปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสามารถรับน้ำหนักจาก U15 เป็น U20 ยกระดับประสิทธิภาพและความปลอดภัยด้านการขนส่ง
– สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ (ใกล้สะพานแห่งที่ 1) อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบและจัดทำ EIA ตั้งเป้าเริ่มก่อสร้างปี 2570 แล้วเสร็จปี 2573 เพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูงลาว–จีน
– ทางรถไฟเวียงจันทน์–นครหลวงเวียงจันทน์ ระยะทาง 10 กม. เป็น “missing link” ของระบบราง โดย สปป.ลาวอยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ
– ศึกษาโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขง เชียงแมน–หลวงพระบาง และสะพานรถไฟข้ามโขง
แห่งใหม่
ด้านพลังงาน ไทยและลาวจะขยายความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ เพื่อดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียวในภูมิภาค
กรอบพหุภาคี ทั้งสองฝ่ายยืนยันความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ โดยไทยพร้อมมีบทบาทเชิงรุกสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในเมียนมา และเชื่อว่าการเลือกตั้งปลายปีนี้จะเป็นก้าวสำคัญของ
การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสองประเทศ จำนวน 1 ฉบับ และพิธีส่งมอบความช่วยเหลือจากไทยแก่ลาว รวม 5 รายการ ดังนี้
- บันทึกความเข้าใจ ระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กับธนาคารส่งเสริมกสิกรรมแห่ง สปป.ลาว
- การสนับสนุนทางการเงิน โครงการสกัดกั้นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด ไทย–ลาว มูลค่า 10 ล้านบาท
- การส่งมอบเซรุ่มแก้พิษงู มูลค่า 875,000 บาท
- การส่งมอบอุปกรณ์พัฒนาและฝึกอาชีพแรงงานลาว มูลค่า 1,495,930 บาท
- การสนับสนุนทางวิชาการ งานออกแบบโครงการพัฒนาระบบประปา ระยะที่ 2 มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป.ลาว โดยแสดงความชื่นชมต่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของทั้งสองประเทศในฐานะเพื่อนบ้านและหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ พร้อมขอบคุณประธานประเทศลาวในฐานะ “มิตรแท้ของไทย” และยืนยันความมุ่งมั่นสานต่อความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมสนับสนุนงบประมาณเพื่อเสริมศักยภาพเจ้าหน้าที่ลาวในการสกัดกั้นยาเสพติดและสารตั้งต้น รวมถึงสานต่อความร่วมมือด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ภายใต้นโยบาย “เปลี่ยน Land-locked เป็น Land-linked” เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการเดินทางระหว่างประชาชนทั้งสองชาติ
ประธานประเทศลาว แสดงความยินดีที่ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีไทย ย้ำว่าลาวให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับไทย และกล่าวแสดงความซาบซึ้งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ประชุมหารือกับ “ทีมประเทศไทย” และผู้แทนภาคเอกชนไทยใน สปป.ลาว เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยมีผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตฯ หน่วยงานด้านความมั่นคงและภาคเอกชนเข้าร่วม โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลมุ่งวางรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง ผ่านการขยายตลาด การลงทุนสมัยใหม่ และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค พร้อมทั้งเห็นพ้องกับฝ่ายลาว ในการเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน โดยขอให้ช่วยดูแล คนไทยกว่า 5,000 คนในลาว สนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทย และขอให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม จัดกิจกรรม CSR ต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ “นักลงทุนคุณภาพที่ลาวไว้วางใจ” และขยายเครือข่าย “Friends of Thailand” เพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยที่ประชุมยังหารือ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่
- การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ตั้งเป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2027 และเตรียมจัดประชุม JC COOP ครั้งที่ 8 เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและ SMEs
- การอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ โดยขอให้ลาวดูแลการขนส่งผลไม้ไทยไปจีน และเอื้อให้รถบรรทุกไทยใช้สถานีเวียงจันทน์ขนถ่ายสินค้าขึ้นรถไฟลาว–จีนโดยตรง
- การแก้ไขปัญหาภาษีซ้ำซ้อนและต้นทุนการผลิตสูง เพื่อให้มีกฎระเบียบที่โปร่งใส
- การพัฒนาบุคลากรลาว รองรับการลงทุนจากไทย
- การบริหารความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายอี แจ มย็อง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เพื่อขอบคุณสำหรับสารแสดงความยินดี และตอบรับเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพในเดือนตุลาคมนี้ โดยย้ำไทยและเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยาวนานกว่า 70 ปี นับตั้งแต่ไทยเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี และพร้อมผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระดับประชาชน โดยตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้ารวมเป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจุบัน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมขอให้เร่งสรุปความตกลง FTA เพื่อเพิ่มศักยภาพ ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งไทยยังต้องการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่เกาหลีใต้มีจุดแข็ง เช่น พลังงานสะอาด ดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นายกรัฐมนตรีชื่นชมการลงทุนของบริษัทเกาหลีใต้ในไทยที่ขยายตัวต่อเนื่อง อาทิ ฮุนได COSMAX และ LH ซึ่งเตรียมจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีแห่งแรกในไทย ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและดูแลนักลงทุนเกาหลีใต้อย่างเต็มที่
ผู้นำทั้งสองยังหารือความร่วมมือระดับภูมิภาค ไทยยืนยันสนับสนุนบทบาทของเกาหลีใต้ในอาเซียน และยินดีที่ไทยดำรงตำแหน่งผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน–เกาหลีใต้ในวาระปัจจุบัน ขณะที่ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้ขอบคุณไทยที่ให้ความช่วยเหลือพลเมืองเกาหลีใต้ที่ถูกหลอกลวงในเมียนมา นายกรัฐมนตรีย้ำว่าไทยพร้อมร่วมมือปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยทั้งสองฝ่ายหวังจะได้พบกันในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย และการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้